Bioshock 2 บันทึกการหวนสู่นครใต้ทะเล Rapture City… ปฐมบทของเสน่ห์แห่งความสยองครั้งใหม่ใน BioShock 2

แชร์เรื่องนี้:
Bioshock 2 บันทึกการหวนสู่นครใต้ทะเล Rapture City… ปฐมบทของเสน่ห์แห่งความสยองครั้งใหม่ใน BioShock 2

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ไหลโทรมกาย ภาพสุดท้ายที่ติดอยู่ในหัวยังคงชัดเจนเหมือนมันเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว มันเป็นภาพของวันคืนแห่งฝันร้ายอันน่าพรั่นพรึง วันคืนที่ผมต้องตะเกียกตะกายเอาตัวรอดภายใต้สถานที่อันดำมืดและชื้นแฉะ วันคืนที่ต้องคอยหวาดระแวงบรรดามนุษย์เสียสติที่ควานหาผมประหนึ่งหมาล่าเนื้อที่หิวโหย วันคืนในมหานครใต้บาดาล “Rapture City” สถานที่ซึ่งอุดมไปด้วยความสวยงามจากสถาปัตยกรรมสีสดใสแต่แฝงไปด้วยหายนะของมฤตยูในทุกย่างก้าว

ผมลุกขึ้นนั่งและใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ ตายังมองไปที่พื้น “เกือบสองปีแล้วสินะ...” ผมกล่าวกับตัวเองและย้อนความคิดไปกับวันเวลาใน BioShock วันเวลาที่ผมต้องคอยเหวี่ยงประแจเหล็กและใช้พลังเหนือมนุษย์ต่อกรกับพวกกลายพันธุ์อันน่าสยดสยองในเมืองใต้ทะเล มันช่างเป็นประสบการณ์ที่น่าขนลุก แต่น่าแปลกที่มันก็มีเสน่ห์ในตัวมันเองจนชวนให้ผมหวนนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะองค์ประกอบศิลป์ในเมือง Rapture ที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ การดำเนินเหตุการณ์ประหนึ่งภาพยนตร์ หรือการแฝงปรัชญาแนวคิดต่างๆ ไว้อย่างแนบเนียนก็ไม่ทราบได้ ที่ทำให้ความน่ากลัวในครั้งนั้นมีอะไรมากกว่าความสยดสยอง

แต่การจะให้กลับไปเผชิญหน้ากับความกลัวอันดำมืดอีกครั้งก็มิใช่เรื่องน่าพิสมัยเลย ผมดีใจที่อย่างไรเสียตอนนี้ผมก็ยังอยู่บนพื้นพิภพ อยู่เหนือจากสถานที่ในความลึกใต้ทะเลหลายพันเมตร แต่ทำไมผมถึงได้กลิ่นเกลือนะ... กลิ่นเกลือของน้ำทะเลที่คุ้นเคย... ผมเงยหน้าขึ้นทันทีและกวาดสายตาไปรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่ห้องของผม! มันเป็นห้องโลหะแคบๆ ทรงกลมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของสนิมเหล็กและเกลือ เบื้องหน้าเป็นกระจกขุ่นมัวที่ฉายให้เห็นภาพของแสงสีขมุกขมัวใต้ผืนน้ำ ผมกำลังตรงกลับไปที่ Rapture City อีกครั้งนี่นา!

 หวนกลับบ้านเกิด

ระหว่างที่แคปซูลดำน้ำ Bathysphere ดิ่งสู่ท้องทะเลเบื้องล่าง ผมก็พยายามเรียบเรียงความคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ คราวที่แล้วผมต้องสมบทเป็นนาย Jack ชายหนุ่มโชคร้ายที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกกลางมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ก็ต้องพาตัวเองเข้าสู่ Rapture City เขาต้องพบกับความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับชาติกำเนิดของเขา รวมไปถึงการค้นพบบุคคลที่เปรียบเสมือนพ่อของตนในแบบที่ไม่ค่อยจะโสภานัก แต่ Jack ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด เขาสามารถคลี่คลายเหตุการณ์ทั้งหมดได้ในแบบของเขาเอง และนำตัวเองขึ้นมาพบกับสายลมและแสงแดดได้อีกครั้ง เรื่องราวทั้งหมดใน BioShock มันควรจะจบลงไปด้วยดีแล้วนี่?

ผมนั่งรวบรวมสติอยู่พักหนึ่งจึงเริ่มจำความได้ “Tennabum…” ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะนึกออกTennabum นักวิทยาศาสตร์หญิงผู้เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เพราะเธอเป็นคนสร้างเหล่าเด็กผีอย่าง Little Sister ขึ้นมา เด็กน้อยที่ทำให้ระบบนิเวศน์อันผิดเพี้ยนในเมือง Rapture สามารถดำเนินต่อไปได้ ภายหลังเหตุการณ์ในภาคแรกสิ้นสุดลง Tannabum ขึ้นมาจากผืนน้ำพร้อมกับลูกๆ ของเธอ หล่อนเลี้ยงดูเด็กน้อยเหล่านั้นให้พบกับความสุขแบบที่เด็กทั่วไปควรจะได้รับ แต่ก็ใช่ว่าลูกของเธอทุกคนจะพอใจกับสภาพความเป็นอยู่แบบใหม่นี้ สาวน้อยผู้มีอดีตเป็น Little Sister คนหนึ่งยังคงจดจ้องท้องทะเลและหวนคิดถึงวันเวลาของการดำเนินชีวิตในนครใต้สมุทรอยู่เสมอ เธอปรารถนาโลกใบนั้นยิ่งกว่าโลกของปกติชน และเมื่อเวลาผ่านไปกว่า 10 ปีที่เธอต้องทนอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย เธอก็ตัดสินใจนำตัวเองลงสู่บ้านเบื้องล่างของเธออีกครั้งหนึ่ง

เธอเข้ารับกระบวนการดัดแปลงพันธุกรรมแบบเดียวกับที่อสุรกาย Big Daddy ได้รับ ผันให้เธอกลายเป็นอสุรร้ายร่างเพรียว “Big Sister” ซ้ำร้ายเธอยังมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะสร้างบ้านที่เธอคุ้นเคยขึ้นมาใหม่ เธอไม่รอช้าที่จะลักพาตัวเด็กสาวตัวน้อยๆ จากโลกเบื้องบนลงมาสู่นคร Rapture และเปลี่ยนพวกเด็กๆ เหล่านั้นให้กลายเป็น Little Sister เพื่อปลุกวงจรชีวิตของนครใต้สมุทรให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในฐานะแม่ที่ดีของลูก Tennabum ย่อมไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์นี้ลอยนวลไปได้ ความรู้สึกผิดและความต้องการรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เธอตัดสินใจปลุกร่างต้นแบบของ Big Daddy ให้ลืมตาขึ้นมาดูโลก Tennabum มอบภารกิจชนิดเร่งด่วนให้มันดำดิ่งสู่นครใต้สมุทรเพื่อไปพาเหล่าเด็กสาวไร้เดียงสากลับคืนมา พร้อมทั้งหาทางปิดบัญชีเจ๊ Big Sister เพื่อจบเรื่องราวทั้งหมดไปด้วย และนั่นคือปฐมบทแห่ง BioShock 2 ใช่แล้ว... ผมยกมือทั้งสองข้างมาจ้องดูอย่างพินิจ มันเป็นมือหนาใหญ่ที่อยู่ในถุงมือหุ้มเหล็ก ครั้งนี้ผมอยู่ในร่างของ Big Daddy ผู้แข็งแกร่งประดุจรถถังนี่เอง แล้วเสียงของประตูแคปซูลที่เลื่อนเปิดออกก็ปลุกผมจากห้วงความคิด ภายนอกเผยให้เห็นสภาพของถิ่นเก่าที่แสนจะคุ้นเคย...

เมืองเก่าในมุมใหม่

สภาพของ Rapture City ยังคงเหมือนกับวันเก่าก่อน มันสวยงาม โดดเด่นจากงานศิลป์สไตล์ Art Deco และอบอวลไปด้วยบรรยากาศน่าขนลุกเหมือนเช่นเคย เวลาที่ผันผ่านไปกว่า 10 ปีจากภาคแรกทำให้ทุกอย่างในเมืองนี้ดูเก่าลงไปบ้าง แต่ Rapture ก็ยังเป็น Rapture สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากก็เห็นจะมีแค่ความสวยงามของนครบาดาลที่เพิ่มพูนขึ้นยิ่งกว่าคราวก่อน แม้เมืองใน BioShock 2 จะยังคงใช้เสาเข็มแท่งเดิม (กราฟิกเอนจิ้น) เป็นรากฐาน แต่รายละเอียดต่างๆ ในฉากก็ได้รับการขัดเกลามากขึ้นทุกด้าน เอฟเฟ็กต์แสงสีของ Rapture ดูเปล่งประกายมากขึ้น มีการเติมแต่งรายละเอียดเล็กน้อยในสถานที่ต่างๆ ให้มากกว่าเดิม ทำให้ภาพรวมของเมือง Rapture ดูน่าประทับใจไม่สร่าง แถมมันยังลื่นไหลไม่มีสะดุดแม้จะยังอยู่ในช่วงแรกของการพัฒนา

หลังจากชื่นชมความงามของบ้านเก่าได้สักพัก ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตนไม่คุ้นกับสถานที่ที่กำลังยืนอยู่เลย แม้มันจะดูเป็น Rapture แบบเก่าที่ผมจำได้ แต่มันก็ไม่ใช่เขตพื้นที่ที่ผมเคยย่างเท้าเข้ามา เสียงคลื่นแทรกของเครื่องรับวิทยุดังขึ้นทำเอาผมเกือบสะดุ้ง มันส่งเสียงของชายคนหนึ่งที่ตัวตนของเขาอยู่ห่างไกลจากสถานที่แห่งนี้มากนัก เขาคือนาย Jeff Weir ผู้ควบคุมด้านการออกแบบแอนิเมชั่นแห่งค่าย 2K Marin ค่ายพัฒนาที่เป็นตัวการหลักในการคืนชีพเหตุการณ์ BioShock ขึ้นมาในครั้งนี้
“มันจะยังคงมีอะไรหลายๆ อย่างเป็นแบบเดียวกับที่คุณเคยเห็นมาแล้วในภาคแรก แต่สภาพแวดล้อมหลักๆ ทั้งหมดจะเป็นสถานที่ใหม่เอี่ยมอ่องที่คุณไม่เคยเจอมาก่อน เพราะ Rapture City เป็นเมืองที่ใหญ่โตมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคแรกเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ในนครแห่งนี้เท่านั้น” เขากล่าว
คำพูดของเขาเป็นหลักฐานยืนยันอย่างดีว่าเมืองใต้สมุทรแห่งนี้ยังมีพื้นที่ใหม่ๆ รอให้ผมสำรวจอีกมากมายนัก และถึงแม้เรื่องราวใน BioShock 2 จะยังเกิดในเมืองแห่งเดิมแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องเจอกับสถานที่ซ้ำซากจากในภาคแรกเพียงอย่างเดียว ตรงกันข้ามผมกลับจะได้พบกับอีกมุมหนึ่งของ Rapture City มุมที่แปลกใหม่ มุมที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึง และมันเป็นมุมที่น่าค้นหายิ่งนักสำหรับตัวผม “Rapture City ช่างเป็นเมืองที่กว้างใหญ่เกินคาดเดาเสียจริงๆ...” ผมพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง

 สู่ท้องทะเล

ระหว่างที่ผมเดินชมวิวอยู่ในมหานครแห่งความตาย ผมก็ต้องมาพบกับทางตันชนิดมืดแปดด้าน ผมมองทะลุผนังแก้วของอาคารใน Rapture สายตาจดจ้องไปยังผืนสมุทรภายนอกแต่ในใจนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต นึกถึงครั้งที่ผมเห็น Big Daddy ตัวหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางท้องทะเล “ใช่แล้ว... ตอนนี้เราเป็น Big Daddy แล้วนี่นา” ผมคิดขึ้นได้แล้วก็มองชุดประดาน้ำอันหนักอึ้งที่ตนสวมใส่ คราวนี้น้ำทะเลไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว ด้วยชุดนี้ทำให้ใน BioShock 2 ผมสามารถออกไปเดินเตร็ดเตร่ในท้องทะเลได้ตามใจ ผมจะมีโอกาสเห็นความยิ่งใหญ่ของนครใต้บาดาลแห่งนี้แบบเต็มๆ ตาจากภายนอก และยังมีสิทธิ์เห็นสภาพของระบบนิเวศน์ใต้ทะเลลึกอันน่าจดจำ ระบบนิเวศน์ที่ดูดกลืนสารเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมนามว่า “ADAM” เข้าไปจนก่อให้เกิดรูปร่างผิดเพี้ยนของแนวประการังรวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียง พวกมันดูสวยงามก็จริงแต่ก็เป็นความสวยแบบน่าเกลียดกึ่งน่ากลัว 10 ปีที่ผ่านมาทำให้ ADAM รั่วไหลออกสู่ทะเลลึกรอบๆ เมือง Rapture ก่อให้เกิดทัศนียภาพอันน่าพิศวงเช่นเดียวกับภายในนครแห่งนี้

ผมย่ำรองเท้าบูทหนาหนักของตนไปทีละก้าวๆ บนผืนดินใต้ทะเล ทุกอย่างเป็นไปอย่างเชื่องช้าผิดกับตอนผมย่ำเท้าอยู่ภายในอาคาร ผมมองสำรวจทิวทัศน์ภายนอกของ Rapture แม้วิวจะสวยงามขนาดไหนแต่จุดประสงค์ของผมนั้นไม่ได้มีแค่ออกมาเดินชมวิว บางครั้งผมต้องออกสู่ทะเลเพื่อเสาะหาทางผ่านเข้าไปยังพื้นที่ถัดไป พื้นที่ที่เส้นทางภายในอาคารไม่เอื้ออำนวยให้มาถึงได้ นอกจากนี้การออกทะเลยังเปิดโอกาสให้ผมเข้าถึงตัวทากทะเลลึกซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งสาร ADAM ได้ด้วย
“พื้นที่ใต้ทะเลนั้นจะเป็นเหมือนสถานที่ให้คุณได้พักหายใจ มันจะเปิดโอกาสให้คุณสามารถออกไปนอกเมือง เก็บเกี่ยวตัวทากที่ผลิตสาร ADAM และได้รับรู้ถึงเรื่องราวรวมทั้งปมปริศนาต่างๆ ของ BioShock ผมคิดว่าส่วนที่น่าหงุดหงิดที่สุดใน BioShock 2 และในขณะเดียวกันก็เป็นส่วนที่น่าจะบีบคั้นอารมณ์ของผู้เล่นได้มากที่สุดจะเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ใต้ทะเล” จู่ๆ คำกล่าวของนาย Hogarth de la Plante ผู้เป็นหัวหอกแห่งทีมออกแบบศิลป์ด้านสภาพแวดล้อมใน BioShock 2 ก็แล่นเข้ามาในความทรงจำของผม

พ่อเลี้ยงพันธุ์ดุ

เมื่อผมกลับเข้าสู่ภายในอาคารของนคร Rapture อีกครั้ง ผมก็แว่วเสียงแปลกประหลาดมาจากโถงทางเดินอันดำมืด ต้นตอของเสียงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผมมากนัก มันเป็นเสียงบ่นฟังไม่ได้ศัพท์ของเพื่อนเก่าที่แสนจะคุ้นเคย เสียงของ “Splicer” ชาวเมือง Rapture ที่สูญสิ้นสติและความรู้ผิดชอบชั่วดีไปพร้อมกับการสูบสาร ADAM เข้าสู่ร่างกาย และพวกมันเป็นเหมือนศัตรูตัวฉกาจของผมในเหตุการณ์ BioShock ครั้งแรก ดูเหมือนเจ้า Splicer ตัวนี้จะยังไม่สังเกตเห็นผม ผมจึงสะกดรอยเข้าไปใกล้มันในระยะที่ผมสามารถมองเห็นตัวมันได้ชัดเจนขึ้น ร่างกายของมันผิดแปลกไปจากที่ผมเคยเห็น รู้สึกว่าเวลายาวนานที่ผ่านมาจะไม่ได้มีแค่สภาพประการังที่เปลี่ยนไปเพราะเหล่า Splicer ก็รู้จักที่จะวิวัฒนาการตัวเองให้มีรูปร่างหลุดจากความเป็นมนุษย์มากกว่าเดิม แถมดูท่ามันจะดุร้ายมากขึ้นด้วย เสียงซ่าของวิทยุดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคำพูดของนาย Jordan Thomas ผู้กำกับการออกแบบศิลป์แห่ง 2K Marin ที่จะเอ่ยคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้

“พวกมันต้องทำให้ตัวมันเองกลายเป็นนักล่าขั้นสุดยอด พวกมันต้องพยายามไปถึงจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารใน Rapture ด้วยการสังหารพวกเดียวกันเองและดื่มกินสาร ADAM จากศพเพื่อนๆ ของมัน จากนั้นมันจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างช้าๆ ไปสู่บางสิ่งบางอย่างที่จะสามารถเอาชีวิตรอดในสถานที่แห่งนี้ได้” เขาไขความกระจ่างให้ผม

โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่เสียงวิทยุของผมมันดังเกินไปหน่อย เสียงคำพูดของนาย Thomas ก้องกังวานไปทั่วโถงทางเดินแห่งนั้นและผมรู้เลยว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ได้ยินเสียงของเขา เจ้า Splicer ผู้ถูกแอบมองหันมาทางผมพร้อมทั้งวิ่งรี่เข้าใส่ทันที ซ้ำร้ายมันยังขนพวกของมันมาด้วย เหล่า Splicer หน้าเก่าๆ แห่มาให้ผมเห็นใน BioShock 2 อีกครั้งทั้ง Thuggish, Leadheads, Nitros, Spiders และ Houdinis Splicers ต่างรวมฝูงกันมาต้อนรับผมกันอย่างอบอุ่น ทีแรกผมกะจะเผ่นแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ผมไม่ใช่นาย Jack เนื้อนุ่มแต่เป็นรถถังมีขาอย่าง Big Daddy นี่นา ผมเริ่มสำรวจหาอาวุธของตัวเองที่พอจะนำมาใช้ได้ สิ่งแรกที่เจอก็คือปืน “Rivet Gun” ปืนยิงหมุดเหล็กแบบเดียวกับที่ผมเคยโดนยิงใส่มาแล้วในภาคแรก (แน่นอนว่ายังมีปืนกระบอกโตอื่นๆ ให้ใช้อีกหลายแบบและระบบแต่งเสริมเติมแต่งอาวุธก็จะยังมีให้เห็น) ผมลั่นไกใส่เจ้าตัวแรกทันทีส่งผลให้ลูกเหล็กร้อนๆ ปะทะกับหน้ามันเข้าอย่างจัง ร่างของมันลอยละลิ่วไปค่อนข้างไกลทีเดียว จากนั้นผมก็สังเกตเห็น Splicer อีกตัวที่วิ่งตามมาติดๆ ผมเปลี่ยนมาใช้อาวุธประชิดตัวซึ่งแทนที่จะเป็นประแจเชยๆ แบบภาคที่แล้ว คราวนี้มันเป็น “หัวสว่านเหล็ก” อันใหญ่ยักษ์บนมือของผมแทน ผมทิ่มมันเข้าไปเสียบเจ้าตัวที่สอง ก่อนจะถอนมันออกมาและหมุนมันค้างไว้ในท่าเตรียมพร้อมเพื่อเพิ่มพลังสังหาร (หัวสว่านสามารถชาร์จเพื่อเพิ่มพลังโจมตีได้) หลังจากนั้นผมกวาดสายตาไปรอบๆ ตัวอย่างฉับพลันและก็พบว่าถูกเหล่า Splicer ล้อมกรอบไว้เสียแล้ว ลำพังแค่ปืนสักกระบอกกับหัวสว่านสักหัวคงไม่ช่วยให้การต่อสู้มีสีสันและทำให้ผมอยู่รอดปลอดภัยจากการปะทะครั้งนี้ได้แน่ ทันใดนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งของผมก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา มันน่าประหลาดใจไม่ใช่เล่นเลยที่รู้ว่า Big Daddy อย่างผมก็สามารถใช้พลังดัดแปลงพันธุกรรมอย่าง “Plasmid” ได้ ผมใช้ Plasmid เพลิงย่างเหล่า Splicer อย่างเมามัน และจะเนื่องมาจากเกราะหนาหนักบนตัวผม หรือร่างกายที่ถูกปรับแต่งให้เป็นมนุษย์อาวุธก็ไม่ทราบได้ที่ทำให้ผมสามารถ “พลิกแพลง” การโจมตีของ Plasmid ให้มันพิสดารยิ่งๆ ขึ้นไปได้ ผมสามารถชาร์จพลัง Plasmid เพื่อเพิ่มความรุนแรงได้เช่นเดียวกับหัวสว่าน หนำซ้ำผมยังสามารถปลดปล่อยพลังลูกผสมที่ผสานความสามารถของ Plasmid สองแบบออกไปพร้อมกัน อย่างเช่น การใช้พลัง Cyclone กับ Incinerate เข้าด้วยกันก็จะทำให้ผมได้กับดักวายุเพลิง ที่นอกจากจะทำให้เจ้า Splicer ปลิวไปคนละทางแล้ว ร่างของมันยังถูกเพลิงเผาผลาญไปพร้อมๆ กันด้วย

ผมสามารถใช้สาร ADAM เพิ่มศักยภาพให้พลัง Plasmid ของผมได้เหมือนเคย แต่นอกจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ครั้งนี้สาร ADAM ยังเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังของ Plasmid ให้แตกต่างออกไปด้วย เสียงของนาย Jordan Thomas ดังผ่านวิทยุอีกครั้งระหว่างการต่อสู้
“ถ้าคุณเลือกที่จะเล่นกับไฟ ทุกครั้งที่คุณใช้ ADAM ไปกับพลัง Incinerate คุณก็จะได้พลังไฟแบบใหม่มาใช้ เปิดโอกาสให้คุณสามารถชาร์จพลังไฟและปลดปล่อยมันออกมาแบบทีเดียวหลายๆ ลูก และในพลังระดับสูงๆ มันจะเปลี่ยนให้มือของคุณกลายเป็นเครื่องพ่นไฟได้เลยทีเดียว”
หลังจากการผสมผสานระหว่างปืน หัวสว่าน และพลัง Plasmid เจ้า Splicer จอมซ่าทั้งหลายก็สยบอยู่แทบเท้าผม ผมเริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไม Tennabum และ Dr.Sushong ถึงไม่เลือกใช้ตัวต้นแบบ Big Daddy อย่างผมในเมือง Rapture นั่นก็เพราะว่าผมไร้เทียมทานเกินไป มันก็คงจะอันตรายไปหน่อยถ้าปล่อยให้อาวุธมหาประลัยอย่างผมเดินว่อนกันทั่วเมือง (และผมคงไม่มีทางผ่าน BioShock ภาคแรกได้แน่ถ้าเจ้า Big Daddy เป็นแบบนี้ทุกตัว) ผมพกความมั่นใจเต็มร้อยเดินทัวร์ต่อในเมือง Rapture เพราะแค่ Splicer ตัวสองตัวคงไม่ใช่คู่ปรับผมอีกต่อไป อีกทั้ง Big Daddy แบบเก่าก็ไม่เจ๋งเท่าผม แต่ผมลืมอะไรไปรึเปล่านะ? มีคู่ปรับอีกตัวที่ผมต้องรับมือไม่ใช่เหรอ? ใช่แล้ว... หล่อนก็คือ Big Sister นั่นเอง

เจ๊ใหญ่พันธุ์โหด

ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกสายตาดวงหนึ่งตามจดจ้องมาสักพักใหญ่แล้ว เจ้าสิ่งนี้มันน่าจะสะกดรอยผมมาตั้งแต่ผมก้าวเข้าสู่พื้นที่ใหม่แห่งนี้ และดูเหมือนมันจะพยายามย่นระยะเข้าใกล้ตัวผมมากขึ้นเรื่อยๆ การปะทะกับ Splicer ทำให้ผมลืมสังเกตสิ่งอื่นรอบตัวไปแต่ตอนนี้สติของผมตื่นตัวอย่างเต็มที่แล้ว ผมแอบหันไปเหลือบมองเจ้านักสะกดรอยอยู่สองสามครั้ง แต่มันก็พาตัวเองหลุดรอยสายตาผมไปได้ทุกครั้งไป สิ่งที่ผมรู้มีเพียงแค่ว่ามันรูปร่างผอมเพรียว ว่องไว และไม่น่ามีเจตนาดีกับผมแน่ๆ “แน่จริงก็เข้ามาเลย!” ผมพูดอย่างหยิ่งผยองให้ดังพอที่มันจะได้ยิน ตัวผมเป็นถึง Big Daddy รุ่นต้นแบบนี่นา แล้วจะต้องกลัวอะไรอีก? และแล้วหลังจากทำปากดีได้ไม่นาน ผมก็ต้องตระหนักกับคำว่า “ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย” เบื้องหน้าผมเป็นกำแพงสูงชัน ขนาบข้างทั้งสองด้านด้วยผนังกระจกของ Rapture City ผมถูกเจ้านั่นต้อนเข้ามุมเสียแล้ว! แล้วผมก็นึกขึ้นได้... เจ้าตัวนี้มันเจ้าเล่ห์และรวดเร็วกว่าพวก Splicer อีกทั้งรูปร่างของมันที่ดูเพรียวบางคล้ายผู้หญิง ไม่ผิดแน่! มันคือพี่ใหญ่ Big Sister!“เมื่อคุณเริ่มปลดปล่อย (หรือกลืนกิน) Little Sister จาก Big Daddy ตัวอื่นๆ ได้จำนวนหนึ่ง Big Sister จะเริ่มออกมองหาคุณและเธอจะตามคุณจนเจอในที่สุด เธอจะออกไล่ล่าคุณ ไม่ว่าตัวคุณจะอยู่ในด่านหรือสถานที่ไหนก็ตาม” เสียงของนาย Jordan Thomas ดังผ่านวิทยุอีกครั้งเพื่อเตือนผมเกี่ยวกับแม่นาง Big Sister นางนี้

ผมเริ่มสังเกตเห็นว่ามีตัวเลขนับถอยหลังปรากฏขึ้น ซึ่งนาย Jordan Thomas ได้อธิบายว่าเลขนับถอยหลังนี้คือการเปิดโอกาสให้ผมเตรียมตัวให้พร้อมรับมือจนกว่าเธอจะปรากฏตัวออกมา ผมต้องวิ่งแฮ็กอุปกรณ์ต่างๆ ที่พอจะหาได้ อย่างเช่น เครื่องจ่ายไอเทม ป้อมปืนกล กล้องรักษาความปลอดภัย และยังวางกับดักอีกสารพัดชนิด เพื่อทำให้ผมได้เปรียบเหนือเธอมากที่สุด เพราะนาย Thomas ขู่ผมไว้ซะดิบดีเลยว่า เมื่อใดที่เธอโผล่มา ผมจะต้องสู้ชนิดสุดใจขาดดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดไปให้ได้
และแล้ว Big Sister ก็โผล่ออกมาจนได้ ผมเพิ่งได้เห็นตัวเธอจังๆ เป็นครั้งแรก เธอสวมหมวกประดาน้ำตาเดียวปิดบังใบหน้าของเธอ ช่องมองภายนอกส่องแสงสีแดงเพลิงแสดงให้รู้ว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดีและไม่ปลื้มกับสิ่งที่ผมทำเท่าไหร่นัก ชุดหนังสีน้ำตาลแนบเนื้อปกคลุมร่างกายผอมเพรียวส่วนใหญ่ของเธอเอาไว้ (ขอบอกว่ามันไม่เซ็กซี่เลยสักนิด) ที่ขาทั้งสองข้างสวมโครงเหล็กที่ใช้กับผู้ป่วยโปลิโอ และบนหลังของเธอแบกกรงเหล็กทรงกลมกับถังบรรจุของเหลวขนาดประมาณถังใส่นมใหญ่ๆ เอาไว้ มันเป็นเครื่องแบบที่ดูไม่จืดและแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย
ผมกระชับปืน Rivet Gun ในมือไว้แน่น เตรียมจะลั่นไกใส่เธอ แต่เธอก็กระโดดหนีไปจากสายตาผมชนิดว่องไวจนแทบมองไม่ทัน หากเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือ Big Daddy อย่างผมก็คงมี Big Sister อย่างหล่อนนี่แหละ แม้ผมจะมีจุดแข็งเรื่องความถึก แต่มันแทบไม่มีประโยชน์เลยเมื่อต้องมาเจอกับศัตรูที่รวดเร็วขนาดเธอ เธอกระโดดเกาะนู่นไต่นี่ได้ราวกับกบต้นไม้และการเคลื่อนไหวแบบลูกผสมระหว่างแมวป่ากับ Splicer ของเธอก็ทำให้ผมอดสยองไม่ได้ หลังจากเธอโดดไปมาจนทำให้ผมหัวหมุนได้ที่เธอก็เริ่มออกลายใส่ผม เธอกระแทกผนังกระจกของนคร Rapture จนปริแตกและปล่อยให้น้ำทะเลไหลบ่าเข้าปะทะกับตัวผม ผมโดนแรงดันน้ำทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างใจและมันเป็นโอกาสทองที่เธอไม่ปล่อยให้มันหลุดรอดไปเลย เธอใช้พลัง Telekinesis เวอร์ชั่นมหาโหดเหวี่ยงมหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ใน Rapture City เข้าซัดผมทันที สิ่งของชิ้นแล้วชิ้นเล่ากระแทกเข้ากับตัวผมอย่างแม่นยำ แม้ผมจะอึดแต่ก็ไม่ได้เป็นอมตะ หัวผมเริ่มมึนจากแรงกระแทกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้คือภาพของโต๊ะขนาดใหญ่ที่ลอยเข้าใส่หน้าของผม แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลงเหมือนการปิดสวิตช์ทีวีอย่างไรอย่างนั้น...

<h3> ศึก Multiplayer ใต้สมุทร

ผมจำได้ลางๆ ว่าในช่วงที่ผมยังอยู่เหนือผืนน้ำ ผมเคยได้รับสาส์นระดับ Top Secret มาจากค่าย 2K Marin ครั้งหนึ่ง เนื้อความในจดหมายกล่าวถึงกำหนดการเปิดเทศกาลละเลงเลือดให้เกมเมอร์ลงไปฟัดกันเองในนคร Rapture หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือการเปิดให้มี “ระบบหลายผู้เล่น” ใน Bioshock 2 นั่นเอง รูปแบบของมหกรรมเลือดสาดที่ทาง 2K Marin จัดขึ้นก็ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน มีเพียงสามกติกาให้เลือกคือ ฆ่ากันให้เรียบ (Free For All), ทึ้งอีกฝ่ายให้ราบ (Team Deathmatch) และอีกแบบหนึ่งที่ทางค่ายพัฒนายังไม่เปิดเผย แต่ผมสืบมาได้ว่ามันจะมีส่วนผสมของความเป็น Co-op ปนอยู่ด้วย แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญของจดหมายที่มันเตะตาผม สิ่งที่น่าสนใจคือระบบปรับแต่งตัวละครที่เปิดให้ผู้เล่นคัดสรรได้ตามใจต่างหาก

ระบบหลายผู้เล่นใน Bioshock 2 จะไม่มีคลาสตายตัวบังคับให้ผู้เล่นเลือกใช้ แต่ละคนจะสามารถเลือกอาวุธคู่กายได้สองชนิด พลัง Plasmid สองชนิด และ Genetonic (ตัวปรับแต่งพันธุกรรมที่ช่วยเพิ่มความสามารถพิเศษให้ตัวละคร) อีกสามชนิด ซึ่งสามารถเลือกได้อย่างอิสระและนำมาประกอบกันเป็น “คลาส” เฉพาะของตนขึ้นมา สร้างตัวละครให้เข้ากับสไตล์การเล่นที่ถนัดมากที่สุด โดยหนึ่งคนจะสามารถประกอบคลาสไว้ใช้ได้สามแบบและสามารถสับเปลี่ยนแบบได้ทุกเมื่อหลังจากถูกเป่าม่องจนต้องจุติใหม่ในแมทช์ ตามความเห็นของผมระบบจัดอาวุธและพลังพิเศษตามใจอยากใน Bioshock 2 จะทำให้เกิดคลาสแปลกๆ ใหม่ๆ ได้เป็นพันๆ คลาสเลยทีเดียว คราวนี้ทั้งผมและผู้เล่นคนอื่นก็ยากที่จะเดาได้ว่าต้องรับมือกับคู่ปรับอย่างไร เพราะทุกคนจะต้องเผชิญ “เซอร์ไพรส์” ทุกครั้งเมื่อจ๊ะเอ๋กับศัตรู

บทสรุปของการเริ่มต้น

ผมลืมตาตื่นขึ้นในห้องนอนของตัวเอง ไม่มีกลิ่นน้ำทะเล ไม่มีเสียงของเหล่า Splicer มีแค่เสียงของพัดลมหมุนเอื่อยๆ อยู่เหนือหัวของผมและแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง อา... ทุกอย่างมันเป็นแค่ความฝันสินะ สงสัยผมจะตื่นเต้นมากไปหน่อยกับภารกิจที่ต้องนำตัวเองเข้าสู่ Rapture City อีกครั้งใน BioShock 2 ผมนึกถึงรายละเอียดอื่นๆ ที่ทาง 2K Marin แง้มให้ฟังขึ้นมาได้ว่า ใน BioShock 2 ตัวเลือกทางศีลธรรมจะมีผลกับตัวเกมและเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น นาย Andrew Ryan ผู้ปกครองนคร Rapture ที่ม่องไปแล้วอาจจะมีทายาทคนใหม่เข้ามาแทนที่และที่ผมจำได้แม่นก็คือมันจะมีโหมด “หลายผู้เล่น” เพิ่มเข้ามาแล้วในภาคนี้ ผมปล่อยหัวให้ว่างและหลับตาลง ในใจนึกถึงกำหนดการที่ผมจะได้นั่ง Bathysphere ลงสู่ Rapture City คงสักประมาณช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2009 นี้ล่ะ แต่เอ๊ะ?... ทำไมผมถึงรู้สึกปวดไปทั้งตัวขึ้นมานะ แล้วเสียงร้องเพลงของเด็กนี่มันอะไรกัน ผมหันหน้าไปตามเสียงและก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงตาสีเหลืองนั่งไกวขาร้องเพลงอยู่ข้างๆ ตัวผม แล้วอะไรบางอย่างก็กระทบเข้ากับท้ายทอยส่งผมกลับสู่ความมืดมิดอีกครา...

ใครว่าการเป็น “พ่อคน” ทำได้ง่ายๆ…

อย่างที่ผมได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าใน BioShock 2 ผมจะได้อยู่ในร่างของ Big Daddy การเป็นพ่อเลี้ยงตัวใหญ่ทำให้บรรดาสาวน้อยน่ารักกึ่งน่ากลัวอย่าง Little Sister แสดงท่าทีกับผมต่างออกไปจากใน BioShock ภาคแรก แทนที่พวกเธอจะแสดงอาการหวาดกลัวและรังเกียจแบบที่ทำกับนาย Jack คราวนี้พวกเธอจะทำเหมือนว่าได้เจอเพื่อนเก่าที่แสนคุ้นเคยและแสดงท่าทีร่าเริง (แบบชวนขนลุก) ให้ผมเห็น แน่นอนว่าตัวเลือกทางศีลธรรมจะยังมีให้เห็นอยู่ ผมสามารถเลือกกลืนกินเธอ (Harvest) เข้าไปทั้งตัวเพื่อสูบ ADAM (สารเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอสำหรับใช้เพิ่มค่าความสามารถต่างๆ ) จำนวนมากในทีเดียว หรือผมจะเลือกหัวข้อ “รับเลี้ยง (Adopt)” เธอมาไว้ข้างกายเพื่อประโยชน์ในระยะยาวก็ได้ โดยหากเลือกวิธีนี้เธอจะขึ้นไปพักพิงอยู่บนไหล่อันใหญ่โตของผม ช่วยให้ผมมองเห็น ADAM จากศพที่เกลื่อนกลาดอยู่ในเมืองและสามารถสั่งให้ Little Sister ตัวน้อยไปเก็บเกี่ยวมันมาให้ผมเมื่อไหร่ก็ได้ ระหว่างการประกอบกิจของเธอ ผมพบว่าเธอจะกลายเป็นแม่เหล็กชั้นยอดที่คอยดึงดูดฝูง Splicer มหาภัยให้แห่เข้ามาทึ้ง ผมต้องงัดอาวุธแทบทุกชนิดมาต่อกรกับพวกมัน รวมไปถึงการสร้างพื้นที่สังหารด้วยการแฮ็กระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ใน Rapture เพื่อถ่วงเวลาพวก Splicer จนกว่า Little Sisiter จะทำกิจกรรมของเธอเสร็จ หากผมพลาดเธอคงจะโดนพวกมันพา

 อัพเกรดตัวคุณด้วย Plasmid

แม้ว่าตอนนี้เราจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมี Plasmid แบบไหนมาให้เราใช้บ้างใน BioShock 2 แต่นี่คือ Plasmid ที่มีใน BioShock 2 ที่เราสืบทราบมา (เรามีข้อมูลเกี่ยวกับ Plasmid ทั้งหมด 5 แบบ โดยสามในห้าจะเป็น Plasmid แบบเก่า ส่วนอีกสองแบบจะเป็น Plasmid ที่มีให้ใช้เฉพาะในโหมด Multiplayer เท่านั้น


Electro Bolt

เป็น Plasmid รุ่นเก่าแต่ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อให้เหมาะกับโหมดมัลติเพลเยอร์ยิ่งขึ้น Electro Bolt น่าจะเป็น Plasmid ที่เราจดจำกันได้ดีมากที่สุดจากภาคแรก แต่ในภาคใหม่นี้ผลในการ Stun ของมันจะสั้นกว่าเดิม แต่รูปแบบการใช้งานก็จะยังคล้ายๆ เดิมก็คือ... ช็อตศัตรูที่อยู่ในน้ำเพื่อให้ชาเสร็จแล้วก็ตามเข้าไปซ้ำด้วยการโจมตีระยะประชิด


Incinerate


นี่คืออาวุธสำหรับทำลายล้างเป็นบริเวณกว้าง แถมยังสามารถชาร์จเพื่อเพิ่มความรุนแรงได้ (คุณไม่จำเป็นต้องเป็นเซียน FPS ที่ยิงแม่นราวกับจับวางก็ใช้ Plasmid ตัวนี้ได้) แต่ระวังให้ดีเพราะศัตรูของคุณจะวิ่งเร็วขึ้นเวลาที่โดนไฟครอก นอกจากนั้นหากศัตรูวิ่งลงน้ำ... ไฟก็จะดับ (Rapture เป็นเมืองใต้บาดาลซะด้วยสิ)


Winter Blast

นี่เป็น Plasmid ที่ส่งผลกระทบต่างกันในโหมด Single กับ Multiplayer ในโหมด Multiplayer มันจะไม่ถึงขนาดแช่แข็งศัตรูทั้งตัว แต่จะเป็นการทำให้ศัตรูช้าลงและอ่อนแอลง ร่างกายของมันอาจจะแข็งจนแตกเป็นชิ้นๆ ได้ นับว่าเป็น Plasmid ที่เหมาะกับการใช้กับ Big Daddy หรือไม่ก็ใช้ดับไฟให้เพื่อนที่โดนไฟครอกอยู่

Aero Dash

เป็น Plasmid ที่เหมาะกับการใช้เดินทางระยะไกลๆ (ทำให้ Big Daddy จอมอุ้ยอ้ายอย่างเราเดินได้เร็วขึ้น) นอกจากนั้นยังผลักศัตรูให้ติดกับกำแพงได้ เมื่อมันติดกับกำแพงเราก็เข้าไปยำใหญ่ หรือไม่ก็ผลักมันให้หล่นจากขอบตึก ทางทีมงานใบ้ว่า Aero Dash จะมีประโยชน์มาในโหมด Multiplayer โหมดหนึ่ง

Geyser Trap

นี่คือต้นแบบของ Plasmid ในภาคก่อนที่ชื่อ Cyclone โดย Geyser จะทำให้เกิดน้ำพุ่งซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของการเป็นแท่นส่งให้เราสามารถขึ้นไปที่สูงๆ ได้ หรือเป็นอาวุธโจมตีดันศัตรูไปกระแทกหลังคา หรือจะใช้เป็นคอมโบกับ Electro Bolt ก็ได้ (ทำงานเป็นทีม คนหนึ่งใช้ Geyser Trap ส่วนอีกคนใช้ Electro Bolt)

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ