ประเภท: Action
ผู้พัฒนา: DICE
ผู้ผลิต: EA
ผู้จัดจำหน่าย: -
เว็บไซต์: www.battlefield1943.com
กำหนดวางตลาด: ไตรมาสที่ 3 ปี 2552
BATTLEFIELD 1943 ท้องฟ้าสีคราม ผืนทะเลกว้างไกล และสงคราม
สงครามโลกครั้งที่สอง! สงครามโลกครั้งที่สอง! และสงครามโลกครั้งที่สอง! ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่เกมแรกที่คุณจะได้พบกับฉากสู้รบอันดุเดือดของสงครามโลกครั้งที่สอง และผมกล้าพนันหมดหน้าตักเลยว่า นี่ก็คงไม่ใช่เกมสุดท้ายเกี่ยวกับเกมสุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่สองที่คุณจะได้เห็น
เบื่อไหมกับฉากมหาสงครามระหว่างกองทัพพันธมิตรกับเหล่าอักษะ? ผมเชื่อว่าในตอนนี้หลายๆ คนคงตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า “เบื่อสุดๆ” อย่าว่าแต่คุณเลย ผมก็เป็นคนนึงแหละที่อยากจะตะโกนดังๆ ว่า “ขออะไรแปลกใหม่กว่านี้ทีได้ไหม...!?” อาจจะเป็นไปได้ที่ DICE คงจะได้ยินเสียงสะท้อนเหล่านี้ เขาก็เลยตอบแทนพวกเราด้วยการพัฒนาเกมที่มีมหาสงครามที่เราอยากไปให้พ้นนักหนานี้เป็นพื้นหลังอีกครั้งราวกับต้องการประกาศว่า “มันยังไม่จบ!”
Battlefield 1943 คือผลงานใหม่หนึ่งในสองของ DICE ซึ่งเป็นทีมพัฒนาซีรี่ส์ Battlefield และ Bad Company (อีกผลงานที่ว่าก็คือ Bad Company 2 นั่นแหละ) โดยใน Battlefield 1943 นี้จะพาคุณบุกสู่สมรภูมิรบในปี 1943 โดยมีศัตรูก็คือเหล่านักรบแห่งแดนซามูไร (แต่ฝ่ายพระเอกของเกมก็แน่ล่ะต้องหนีไม่พ้นฝ่ายพันธมิตรแน่นอน) หลายคนอาจจะมีความเห็นประมาณว่า Battlefield 1943 นี้จะต่างจากเกมก่อนในซีรีส์ตรงไหน? มันก็สงครามโลกครั้งที่สอง เหมือนๆ กัน? เอาเป็นว่าอ่านบทความนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจละกันว่า “มันเป็นสิ่งเดิมๆ ที่เคยเห็น” หรือ “มันเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ต้องลองสัมผัส”
ยกเครื่องสงครามโลกครั้งที่สอง
แน่นอนว่าของใหม่ที่ปรากฏให้ยลกันใน Battlefield 1943 นี้ก็คือเอนจิ้นที่มีนามว่า Frostbite หลายๆ คนคงจะคุ้นชื่อนี้อยู่แล้ว เพราะมันก็คือเอนจิ้นที่ใช้ในการพัฒนา Bad Company นั่นเอง แต่ Frostbite ที่ใช้ใน Battlefield 1943 นี้เป็นตัวที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Frostbite ที่ใช้ใน Bad Company ตัวเอนจิ้นช่วยขับเคลื่อนให้สภาพแวดล้อมภายในเกมดูดีกว่า Battlefield ที่ผ่านๆ มาพอสมควรทีเดียว แต่ที่สำคัญกว่าความดูดีนั้นก็คือ สภาพแวดล้อมภายในเกมที่สามารถทำลายได้ ไม่มีอีกแล้วกับบังเกอร์ที่คงทนถาวร ไม่มีอีกแล้วกับที่ซุ่มยิงอันปลอดภัยตลอดกาล และไม่มีอีกแล้วกับเกมจืดชืดที่มัวแต่หลบตามซอกหลืบคอยดักยิงหัวใครต่อใครที่วิ่งผ่านมา
สภาพแวดล้อมภายใน Battlefield 1943 เกือบทั้งหมดทำลายได้ ไม่ว่าจะด้วยระเบิดหรือการกระหน่ำโจมตี ด้วยเหตุนี้จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเหล่าพลซุ่มยิงซุ่มตามหลืบนู้นหลืบนี้จนพาลให้เกมน่ารำคาญ และช้าจนน่าเบื่อ ใน Battlefield 1943 การซุ่มยิงจากสิ่งก่อสร้างสามารถที่จะตอบโต้ได้ด้วยหลักการง่ายๆ ที่ว่า “ทำลายที่ซุ่มนั้นซะ” (ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผมก็ค่อนข้างเชื่อว่าไม่มีอะไรในโลกที่สามารถยุติการฆาตกรรมด้วยไรเฟิลได้ พลซุ่มยิงที่ดีไม่จำเป็นต้องมีที่ซุ่มเสมอไป การที่สิ่งก่อสร้างถูกทำลายได้ก็เป็นเพียงแค่ลดความได้เปรียบที่เกินพอดีของเหล่านักเป่าหัวลงไปอีกนิดเท่านั้น)
Class เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เปลี่ยนไปใน Battlefield 1943 นี้ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งพันธมิตรหรืออักษะ Class ที่มีให้เลือกภายในเกมก็จะประกอบด้วย Class ทั้งหมด 3 Class ก็คือ Infantryman, Rifleman และ Scout ผมเชื่อว่าแฟนๆ ซีรีส์นี้คงจะคิดเหมือนกับผมที่ว่ากระเป๋าพยาบาลเคลื่อนที่อย่าง Medic หรือคลังอาวุธเคลื่อนที่อย่าง Engineer ไปไหนซะแล้ว สาเหตุที่ Class บาง Class ถูกตัดออกไปก็เพราะมีรูปแบบการเล่นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นใน Battlefield 1943 นี่เอง กระสุนของคุณไม่มีวันหมด และมีใช้อย่างไม่อั้น คุณจึงไม่จำเป็นที่จะต้องคอยหาหน่วยสนับสนุนเพื่อคอยเติมกระสุน (แต่คุณยังคงต้องรีโหลดเหมือนเดิมนะ) และพลังชีวิตที่สูญเสียไปของคุณก็จะฟื้นคืนมาเรื่อยๆ เมื่อไม่อยู่ในขณะที่ไม่อยู่ในจุดปะทะ ด้วยเหตุนี้ Class ที่เป็นหน่วยสนับสนุนจึงถูกตัดออกไป บางคนอาจจะคิดว่ารูปแบบการเล่นนี้ไม่เข้าตา และไม่สมจริงเอาเสียเลย แต่ผลที่ตามมาแน่ๆ ก็คือคุณสามารถบู๊ได้โดยไม่ต้องถอยกลับไปตั้งหลักบ่อยๆ และการรบที่ดำเนินต่อเนื่องอย่างไม่ขาดตอน ซึ่งมันจะเป็นผลดีหรือผลเสียนั้นก็ยากที่จะเดา และเราก็คงต้องดูกันต่อไป แต่ Class ทั้งสามที่ยังหลงเหลืออยู่ในสมรภูมิ 1943 ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย...
Infantryman หรือหน่วยรบกล้าตายในแนวหน้าของเรา การกลับมาของ Infantryman ในครั้งนี้ไม่ใช่แน่นอนกับกองกำลังที่ถือปืน ปลย.11 เก่าๆ ที่เราเคยเห็นจนชินตาในหลายๆ เกมที่ผ่านมาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง บอกตรงๆ ว่ามันเป็นแฟชั่นที่เชยไปเสียแล้ว ผมขอแนะนำให้รู้จักกับ Infantryman ในโฉมใหม่ที่มาพร้อมกับ Sub Machinegun (ปืนกลเบาแบบพกพา), Bazooka (ปืนบาซูก้าที่เราๆ ท่านๆ รู้จักนั่นแหละ) และ Wrench (หรือประแจเลื่อน อาวุธคู่กายของเหล่า Engineer ในเกมแนว FPS อื่นๆ) Infantryman เป็นพวกทหารหน่วยจับฉ่ายที่รับงานจิปาถะมากกว่าจะเป็นเหล่านักรบแนวหน้า รับบทบาทเป็นเหมือนบังเกอร์มีชีวิตให้กับทีม และตายก่อนเพื่อนเสมอ แต่ใน 1943 คุณจะสามารถตายได้หลายรูปแบบยิ่งขึ้น คุณอาจจะตายจากการต่อสู้กับทหารราบศัตรู (โดย Sub Machinegun) คุณอาจจะตายจากกระสุนปืนใหญ่รถถัง (ขณะที่กำลังเล็งยิงมันด้วยบาซูก้า) หรือคุณอาจจะโดนเป่าหัวจากระยะไกล (ขณะกำลังซ่อมแซมยานพาหนะด้วยประแจ) นี่คือ Infantryman รูปแบบใหม่ที่ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะถูกใจอยู่ไม่น้อย
Class คือเหล่า Rifleman นั่นเอง โดยอาวุธคู่กายของพวกเขาก็คือ Semi Automatic Rifle (ไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ) และ Rifle Grenade (เครื่องยิงระเบิดระยะไกล) จากอาวุธที่พวกเขาถือก็คงจะเดากันได้ไม่ยาก ว่าพวกเขาก็คือหน่วยสนับสนุนการโจมตีนั่นเอง หน้าที่หลักของพวกเขาก็คือการอยู่ในแนวหลังและยิง Grenade ถล่มใส่ศัตรูเพื่อทำลายบังเกอร์ หรือที่ซ่อนตัวและเปิดทางให้ Infantryman บุกเข้าจู่โจม สำหรับระบบการเล่นแบบ Capture Point แล้ว Class นี้ถือเป็น Class ที่สำคัญเอามากๆ ต่อการรุกเข้าใส่ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะบุกเข้าใส่ศัตรู และชิง Capture Point มาดื้อๆ
Class สุดท้ายก็คือเหล่า Scout นั่นเอง อาวุธคู่กายของพวกเขาเหล่านี้ก็คือ Sniper Rifle (ไรเฟิลสังหาร) และ TNT (ระเบิดสังหารแบบหวังผล) แน่นอนว่าหน้าที่ของพวกเขาหลักๆ แล้วคงเป็นอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากการส่องหัวศัตรูด้วย Sniper Rifle เพื่อสังหารในนัดเดียว และทำลายยานเกราะหนักของศัตรูด้วย TNT ผมไม่ขออธิบายมากมายเกี่ยวกับ Class นี้นะ เพราะคงรู้จักกันดีอยู่แล้วกับการเป่าหัวคนอื่น หรือถูกคนอื่นเป่าหัวเอา
เก่าแต่ก็เก่าแบบลายคราม
ไม่ใช่ว่าอะไรๆ ใน 1943 จะเป็นของใหม่ทั้งหมด ระบบเดิมๆ ที่นับว่าเป็นจุดเด่นของซีรีส์นั้นยังคงอยู่ อาทิ ระบบการเล่นที่เรียกกันว่า Capture Point หลายคนคงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว (จริงที่ว่า Multiplayer FPS อื่นๆ ก็มีโหมดการเล่นนี้ แต่เชื่อผมเถอะว่าไม่มีซีรีส์ไหนที่จะมีการแย่งชิงจุดยุทธศาสตร์กันดุเดือดได้เท่าซีรีส์นี้) และเมื่อผสมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมอันน่าตื่นตาตื่นใจ และสามารถทำลายได้ด้วยเอนจิ้น Frostbite มันเป็นผลให้ Battlefield 1943 เป็นสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดสมรภูมิหนึ่งบนหน้าจอของคุณ ระบบ Capture Point ทำให้คุณไม่สามารถเล่นบทเป็นพระเอกตะลุยเดี่ยวราวกับแรมโบ้ได้ คุณจำเป็นต้องพึ่งพาสหายร่วมรบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกัน ต่างคนต่างไปในเกมนี้นั้นจึงไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย เพราะต่อให้คุณสังหารได้เยอะ แต่ทีมแพ้ก็ไม่มีประโยชน์ (ประโยชน์เดียวที่คุณจะได้รับก็คือความสะใจ แต่ความสะใจมักจะมลายหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเจอเพื่อนร่วมทีม VOIP ใส่ด้วยอารมณ์โมโหร้าย หลังจากแพ้แบบหมดรูปอย่างน่าอาย)
สำหรับเหล่านักขับและนักบินแห่ง Battlefield ก็ขอให้เตรียมวอร์มเครื่องรอได้เลย ใน Battlefield 1943 นี้ยังคงมีพาหนะให้ขับเหมือนเคย โดยพาหนะที่มีใน Battlefield 1943 ก็เช่น รถจี๊ป, รถถัง และเครื่องบิน ที่มีใช้กันอยู่จริงในสงครามครั้งนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับซีรีส์นี้ที่มีพาหนะมาให้ขับ แต่สำหรับ Battlefield แล้วการได้จับพวงมาลัยหรือคันบังคับคือหนึ่งในจุดเด่นของเกมนี้ที่ขาดไม่ได้ คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไม่แปลกใหม่เอาเสียเลย แต่ของเก่าที่มันดีอยู่แล้วก็ควรที่จะอนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อไปจริงไหม?
ถึงจุดนี้หลายคนที่เป็นแฟนดั้งเดิมของซีรีส์นี้คงคิดเหมือนผมที่ว่า “มันคุ้นๆ” แต่นั่นก็เป็นเพราะ Battlefield 1943 นั้นถือเอา Battlefield 1942 ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของมันเป็นหลัก หลายๆ ฟีเจอร์ภายในเกมจึงเกือบที่จะเรียกได้ว่าถอดแบบกันมา จึงไม่แปลกอะไรที่คุณจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของตัวเลข 1942 จากของใหม่ที่เปลี่ยนตัวเลขเป็น 1943 แต่ด้วยคุณภาพของทีมงานที่พิสูจน์ตนเองมามากมายอย่าง DICE ผมเชื่อว่ามันเป็นหลักประกันที่ดีที่พอจะทำให้ผมฟันธงได้ตั้งแต่ในมุ้งเลยว่า คุณจะต้องหลงรักผลงานที่ชื่อ Battlefield 1943 ด้วยเช่นกัน
วิวสวยๆ หาดทรายใสๆ ผมชอบนะ แต่ผมชอบมากกว่าตอนที่มันเต็มไปด้วยเสียงปืนและระเบิด
ด้วย Frostbite อะไรๆ ก็ดูดีขึ้นเยอะ
ไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกแล้ว ไม่ว่าคุณจะหลบอยู่ที่ไหนก็เป็นไปได้ทุกเมื่อที่ระเบิดจะหล่นลงกลางหัว