Kingdom Under Fire 2 : การกลับมาของอาณาจักรใต้เปลวเพลิง และอีกครั้งกับการมัลติแพลตฟอร์ม

แชร์เรื่องนี้:
Kingdom Under Fire 2 : การกลับมาของอาณาจักรใต้เปลวเพลิง และอีกครั้งกับการมัลติแพลตฟอร์ม

 

ประเภท: REAL-TIME STRATEGY

ผู้พัฒนา: BLUESIDE/PHANTAGRAM

ผู้ผลิต: -ผู้จัดจำหน่าย: -

เว็บไซต์: WWW.KUFII.COM กำหนดวางตลาด: ปี 2552

     ก็ตามชื่อของตัวเกมและตามที่จั่วหัวไว้ข้างต้น หลายๆ คนก็คงเดากันไม่ยากว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Kingdom Under Fire หลุดออกมาสู่สายตาพวกเรา โดยอายุอานามของซีรีส์นี้ก็ล่อเข้าไปเกือบ 8 ปีแล้ว (ซีรีส์นี้เริ่มต้นในปี 2544 กับพีซี และในปี 2547 กับ Xbox) และในงวดนี้สำหรับ Kingdom Under Fire 2 ทาง Blueside ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกมก็ได้ตัดสินใจที่จะทุ่มทุนสร้างทำให้ KUF2 นี้ให้กลายเป็น MMO เป็นครั้งแรก ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องดีทีเดียว เพราะมันหมายถึงว่าเป็นไปได้ที่ KUF2 จะกลายเป็นอีกเกมหนึ่งที่ชาวคอนโซลจะได้มาร่วมสมรภูมิเดียวกันกับพีซี (อาจจะจริงที่ว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาระหว่างการประจันหน้าของแพลตฟอร์มทั้งสอง จบลงที่ไม่เป็นที่พึงพอใจนักสำหรับในหลายๆ เกม แต่สำหรับเกมนี้เป็นเกมหนึ่งที่เรียกได้ว่าน่ารักน่าลุ้นไม่น้อยทีเดียว และมีกระแสตอบรับที่ดีไม่น้อยด้วย)

     ผมก็จะขออธิบายรูปแบบคร่าวๆ สำหรับเกมนี้ว่า เกมนี้จัดอยู่ในรูปแบบ Action RTS ซึ่งคุณจะรับบทบาทเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีกองกำลังนับร้อยใต้บังคับบัญชา โดยคุณจะได้ควบคุมตัวละครของคุณในรูปแบบแอ็กชั่นและควบคุมยูนิตในกองทัพได้ด้วยในรูปแบบของเกมกึ่ง RTS (ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ผมก็ขออธิบายสั้นๆ ว่า คล้ายๆ กับ Dynasty Warriors ที่ดูเป็น RTS มากกว่านั่นเอง) โดย Kingdom Under Fire จะมีฐานเรื่องเป็นรูปแบบแนวแฟนตาซีทั่วๆ ไปที่ประกอบด้วย ก๊อบลิน ออร์ค หรือเอลฟ์
จริงอยู่ที่ว่า Kingdom Under Fire 2 เป็น MMO แต่ก็ใช่ว่า Blueside จะแปลงโฉมให้กลายเป็น MMO เต็มร้อย Kingdom Under Fire 2 ก็ยังคงมี Single Player อยู่เช่นเดิม แน่นอนว่าเนื้อเรื่องในส่วนของ Single Player ก็จะเชื่อมโยงมาจากในภาคก่อนๆ ของตัวเกม (เกมเวอร์ชั่นหลังสุดของซีรีส์นี้ก็คือ Kingdom Under Fire: Circle of Doom ซึ่งลง Xbox 360 ในปีที่แล้ว) ซึ่งทาง Blueside ก็ได้ยืนยันว่าตัวละครบางคนในซีรีส์จะกลับมา (แค่บางคน) และก็จะมีตัวละครใหม่ๆ ปรากฏตัวในภาคสองนี่ด้วย โดยเนื้อเรื่องในภาคสองนี้จะเริ่มต้นเมื่อ Regnier หนึ่งในตัวละครภาคที่แล้ว กลับออกมาจากมิติ Encablossa ใน 150 ปีหลังจากภาคแรกพร้อมกับกองทัพที่เรียกว่า Encablossian และกองทัพนี้เองก็คือหนึ่งในจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหม่ และเป็นหนึ่งในกองทัพใหม่ที่ปรากฏโฉมขึ้นในภาคสองนี้ภายใต้การนำของ Regnier (ซึ่งมิติ Encablossa นี้ก็คือสถานที่ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุการณ์ใน Circle of Doom) เนื้อเรื่องจึงกลับมาเริ่มต้นในดินแดน Kingdom Under Fire ที่เราคุ้นเคยอีกครั้ง โดยจะเกี่ยวพันกับสงครามระหว่าง Human Alliance, Dark Legion และ Encablossa ที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดน Bersia

     และก็เช่นเดียวกันกับ Single Player เนื้อเรื่องในส่วนของ MMO ก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน โดยคุณจะต้องเลือกเป็นหนึ่งในสามกองทัพภายในเกม (Human Alliance, Dark Legion และ Encablossa) เป้าหมายของเกมนั้นก็ไม่ยากแต่อย่างใด เป้าหมายหลักก็คือกวาดล้างกองทัพอื่นอีกสองกองทัพ และยึดครองดินแดน Bersia ทั้งหมดไว้ในครอบครอง ซึ่งเมื่อทำได้ก็หมายถึงกองทัพของคุณจะเป็นผู้ชนะ และเป็นการปิดฉาก Season 1 (ตามที่ Blueside เรียก และน่าจะมีความหมายว่าฤดูกาลที่หนึ่ง) แต่ใช่ว่าเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถครอบครอง Bersia ได้แล้ว เกมจะยุติลงในส่วนของ MMO ทาง Blueside เองได้ยืนยันว่าจะมีการเพิ่มเติมพื้นที่ขึ้นมาแน่นอนในภายหลังในส่วนของ MMO ของเกม เพื่อให้สงครามดำเนินต่อเนื่องต่อไป

    ในเมื่อมีส่วน Single Player และ MMO แน่นอนว่าหลายๆ คนคงมีคำถามยอดฮิตตามมาว่า ทั้งสองโหมดจะมีผลสืบเนื่องต่อกันหรือไม่อย่างไร? ทางผู้พัฒนาก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าเมื่อคุณเล่นโหมด Single Player ไปได้ในระดับหนึ่งคุณก็จะได้รับรางวัลซึ่งนำไปใช้ในส่วนของ MMO ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นผลที่ทำให้ Single Player ไม่กลายเป็นโหมดที่ถูกลืมไปแบบหลายๆ เกม แต่ในทางกลับกัน ไม่ว่าสถานการณ์ใน MMO จะเป็นอย่างไร ก็ขอให้สบายใจว่ามันไม่มีผลใดๆ ต่อการเล่นใน Single Player อย่างแน่นอน

    และเนื่องด้วยการที่คุณมีกองทัพเป็นร้อยภายในมือ แน่นอนว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือระบบการตีเมืองหรือป้อมปราการ ในเกมนี้คุณจะได้เห็นฉากอลังการแบบนี้เช่นกัน ในระบบการเล่นแบบนี้ ผู้เล่นฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายตั้งรับ และอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายโจมตี ทาง Blueside บอกว่าคุณจะได้เห็นการรบที่ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนการรบในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง คุณจะได้เห็นการรุกเข้าโจมตีประตูเมือง, ใช้เครื่องยิงหินเข้าถล่ม หรือการพยายามปีนขึ้นบนแนวกำแพงด้วยบันไดของเหล่าทหาร การรบนี้ก็คือจุดเด่นที่สุดจุดหนึ่งของ Kingdom Under Fire 2 เพราะไม่ใช่ว่าคุณจะเป็นแม่ทัพที่ฆ่าล้างทุกชีวิตที่ขวางหน้าก็ชนะได้ แต่คุณต้องคอยควบคุมกองทัพของคุณให้ทำหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าจะห่วงแต่ชีวิตตัวเองเท่านั้น จุดประสงค์หลักในการจะได้รับชัยชนะไม่ใช่การจัดการกับเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งอย่างแม่ทัพอีกฝ่ายเท่านั้น แต่เป้าหมายที่สำคัญก็คือการต้องบุกฝ่า (หรือป้องกัน) ข้าศึก และทำเป้าหมายอย่างยึดป้อมปราการ (หรือป้องกัน) ให้สำเร็จด้วย
และก็เช่นเดียวกันกับในภาคแรก ใช่ว่าตัวละครของคุณจะเดินหน้าฆ่าล้างด้วยอาวุธในมืออย่างเดียว แน่นอนว่าความสามารถเฉพาะตัวก็เป็นอีกองค์ประกอบที่คุณสามารถใช้ได้เพื่อเอาชนะ ตัวละครแต่ละตัวก็จะมีความสามารถต่างกัน เช่น ตัวละครประเภทนักรบมักจะมีการโจมตีต่อเนื่องที่ดุเดือดและเร้าใจ ในขณะที่ตัวละครอย่างพวกดาร์คเอลฟ์ก็จะมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ อย่างการแช่แข็ง เป็นต้น และตัวละครนี้เองที่เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของ Kingdom Under Fire ตั้งแต่ภาคแรก และเป็นการสร้างความแตกต่างของการเล่นในแต่ละเผ่าพันธุ์ให้เห็นได้อย่างชัดเจน

     ยังไม่มีกำหนดแน่นอนว่า Kingdom Under Fire 2 จะหลุดออกมาเป็นตัวเป็นตนเมื่อไหร่ แต่กำหนดการคร่าวๆ ก็คือภายในปีนี้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นตั้งตารอกันได้เลยกับสงครามครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม กับอาณาจักรใต้เปลวเพลิงแห่งนี้

คุณไม่ได้กำลังมองโปสเตอร์หนัง Gozzilla 2 อยู่หรอกนะ แต่นี่คือ Kingdom Under Fire 2 ต่างหาก


ฉากแอ็กชั่นงามๆ มีอยู่มากมายภายในเกม และแอ็กชั่นงามๆ นี้ก็คือสิ่งสำคัญที่คุณต้องใช้เพื่อสู้เอาชีวิตรอด

ค้อนชนะกรรไกร กรรไกรชนะกระดาษ กระดาษ... ทหารม้าที่ควบมาเต็มสปีดชนะทุกอย่าง


นาซกูลล์!!! อ้าว! ไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ถึงแม้จะไม่ใช่แต่ก็โหดไม่มากน้อยไปกว่ากันหรอก

การป้องกันและโจมตีป้อมปราการคืออีกหนึ่งจุดเด่นของ Kingdom Under Fire 2

 
แต่งตัวไม่เหมาะกับสนามรบเลยนะแม่คุณ


ยิ่งดูยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ากะลังดูภาพยนตร์เรื่อง Lord of the Rings อยู่นะเนี่ย

สนามรบที่ยุ่งเหยิง... รอคอยวีรบุรุษอย่างคุณอยู่

อดีตสู่ปัจจุบันของอาณาจักรใต้เปลวเพลิง

Kingdom Under Fire เริ่มต้นขึ้นใน 2544 กับแพลตฟอร์มพีซีโดยใช้ชื่อว่า Kingdom Under Fire: A War of Heroes โดยในภาคแรกนี้ตัวเกมออกมาในรูปแบบที่เป็นลูกผสมระหว่าง RTS และ RPG คุณจะต้องเลือกฮีโร่คนหนึ่งจากหกคน ซึ่งเป็นฮีโร่ของฝ่ายแสงและฝ่ายมืด ฝ่ายละสามคน โดยที่มีเนื้อเรื่องวนเวียนอยู่ในโลกแฟนตาซีกับความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยจุดเด่นหลักๆ ก็คือการที่มันเป็น RPG + RTS นั่นเอง

Kingdom Under Fire: The Crusader เป็นเกมที่สองของซีรีส์นี้ที่ออกมาให้เรายลโฉมกันในปี 2547 แต่ทว่าย้ายจากพีซีไปโผล่ใน Xbox โดยเกมเปลี่ยนจาก RTS + RPG กลายไปเป็น Action RPG เพื่อให้ง่ายต่อการเล่นในแพลตฟอร์มใหม่ โดยเนื้อเรื่องก็เกี่ยวข้องกับสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์

 อดีตสู่ปัจจุบันของอาณาจักรใต้เปลวเพลิง

    Kingdom Under Fire: Heroes เป็นเกมที่สามของซีรีส์ที่วางแผงในปี 2548 แต่เนื้อหาในเกมเกิดก่อนสงครามใน The Crusader ประมาณ 5 ปี หลักๆ แล้วรูปแบบการเล่นคล้ายกันกับ The Crusader มากแต่ดูมีความเป็นแฟนตาซีมากขึ้น และ Kingdom Under Fire: Circle of Doom ก็คือเกมหลังสุดที่ออกมาในซีรีส์นี้บน Xbox 360 แต่การกลับมาในครั้งนี้ทำให้ Kingdom Under Fire กลายเป็นแอ็กชั่นแบบเต็มร้อย และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมิติที่เรียกว่า Encablossa Cirble of Doom อาจจะดูเหมือนน้องสุดท้องที่ไม่เหมือนพวกพี่ๆ เอาเสียเลย แต่มันก็เหมือนอารัมภบทสำหรับ Kingdom Under Fire 2 เพราะกองทัพ Encablosian แห่งมิติ Encablossa ก็จะมาปรากฏตัวใน Kingdom Under Fire 2 เช่นกัน

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ