Rappelz: ไขปัญหาคาใจ เรื่องการอัพสกิล

แชร์เรื่องนี้:
Rappelz: ไขปัญหาคาใจ เรื่องการอัพสกิล

     หลังจากลองเล่นหลายๆ อาชีพจากเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์มาสักระยะ และช่วง CBT ในไทยแล้ว ผมว่า Rappelz เป็นเกมที่เข้าใจระบบอัพสกิลได้ง่ายมากเกมหนึ่ง แต่ยังคงเป็นคำถามยอดฮิตที่พูดถึงอยู่เรื่อยๆ ว่าจะอัพสกิลอะไรก่อนดี, จะเพิ่ม Job Level อย่างเดียวเลยดีไหม หรือสกิลไหนไม่ควรอัพบ้าง สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังคาใจกับสารพันปัญหาเหล่านี้ คอลัมน์นี้มีคำตอบครับ

 ระบบ Job Level และ Skill Tree

ก่อนอื่นมาดูระบบการอัพสกิลของเกมนี้กันก่อน เราจะได้ค่า JP จากการปราบมอนสเตอร์ และทำเควสต์ แล้วใช้ค่า JP ที่เก็บสะสม ไปเพิ่มระดับ Job Level และ Skill ได้ ซึ่งต้องพิจารณาให้ดีว่าจะเพิ่มอะไรก่อน โดยดูได้ในหน้าจอสกิล (กด Alt + S) จะมีให้กดอัพ 2 อย่าง ดังนี้
1. Job Level : ต่างจากเลเวลของตัวละคร ตรงที่ไม่สามารถเพิ่มเองได้ ต้องใช้ค่า JP ในการอัพเท่านั้น ผลจากการเพิ่ม Job Level จะช่วยให้ได้ค่า Status เพิ่มขึ้น และทุก 5 เลเวล จะมีสกิลใหม่ให้ใช้จนถึง Job Level 40 และจะเปลี่ยนอาชีพครั้งที่สองได้ตอน Job Level 40 - 50 

Job Level

2. Skill Tree : การอัพสกิลใหม่ได้ ต้องอัพสกิลตามผัง Skill Tree มีสกิลทางผ่าน จึงจะได้สกิลต่อไป เนื่องจากใช้ JP อัพ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการอัพสกิลผิด ยกเว้นจะกดผิดจริงๆ เช่น ไปอัพสกิลสายธนู ทั้งที่เล่นสายมีด เป็นต้น แม้จะกดผิด ก็แค่ไปเก็บ JP เพิ่มได้ โดยไม่มีข้อจำกัด ต่างจากเกมที่ใช้ระบบ Skill Point (แต่อยากได้ JP คืน ก็มี Item Mall แก้ไข)

Skill Tree

ถึงจะมีระบบ Skill Tree แต่สกิลส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถอัพจนเต็มได้ทันที ถูกจำกัดด้วย Job Level เช่นกัน จึงการอัพสกิลต่อได้ ดูตัวอย่างของสกิล Defense Practice ที่ได้ตั้งแต่เปลี่ยนอาชีพครั้งแรก ดังต่อไปนี้
- Job Level 1 อัพสกิลได้เลเวล 1 – 2
- Job Level 10 อัพสกิลได้เลเวล 3 – 4
- Job Level 20 อัพสกิลได้เลเวล 5 – 6
- Job Level 30 อัพสกิลได้เลเวล 7 – 8
- Job Level 40 อัพสกิลได้เลเวล 9 – 10

วิธีดูเงื่อนไขอัพสกิล

เมื่อเอาเมาส์วางไว้ตรงสกิลที่ยังไม่อัพ ก็จะบอกความต้องการของสกิลและค่า JP ที่ใช้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ถ้าเป็นสกิลที่ได้ตั้งแต่ขั้นแรก จำเป็นต้องมีทางผ่านอย่างน้อย 1 เลเวล (อาชีพขั้นแรก) หรือ 4 – 11 เลเวล (อาชีพขั้นสอง) ส่วนสกิลที่ได้หลังเปลี่ยนอาชีพครั้งที่สอง จะใช้ทางผ่าน 1 เลเวล


 ถ้ายังอัพไม่ได้ จะเขียนกำกับไว้เป็นสีแดง พร้อมเงื่อนไขที่ขาด

หลักการอัพสกิล ใช้ได้ทุกอาชีพ

1. เก็บ Job Level ให้ถึง 40 โดยเร็ว

ช่วงแรกยังเล่นไม่ยาก แนะนำให้เน้นเพิ่ม Job Level เป็นหลัก โดยอัพสกิล 1 เลเวล เป็นทางผ่านก็พอเพื่อให้ได้สกิลครบโดยเร็ว ถ้าบางสกิลใช้ JP ประมาณหลักพัน อาจอัพเพิ่มเป็นเลเวล 2 – 3 เพื่อช่วยให้เก็บเลเวลได้สบายยิ่งขึ้น

 อัพอย่างละ 1 - 3 ให้ได้สกิลถึง Job Level 40

2. อัพสกิลเท่าที่จำเป็น แล้วเก็บ Job ต่อจนถึง 50

หลังช่วงประมาณ Job Level 40 จะเก็บเลเวลยากขึ้น อาจต้องอัพบางสกิลเพิ่มเป็นเลเวล 4 – 5 ให้ช่วยเล่นง่ายขึ้น แต่ไม่แนะนำให้อัพมากจนเกินไป เพราะใช้ค่า JP จำนวนมาก เก็บไปอัพ Job Level จะดีกว่า

     กรณีสายสนับสนุนก็เช่นกัน ไม่ต้องรีบอัพสกิลสนับสนุนจนเต็ม เอาแค่มีสกิลช่วยปาร์ตี้ได้บ้างก็พอ แต่ใครจะอัพบางสกิลให้เต็มเพื่อสนับสนุนปาร์ตี้นานๆ ก็ได้
พอ Job Level 40 ยังไม่ต้องรีบร้อนเปลี่ยนอาชีพ ไปทำ เก็บ Job Level ให้เกิน 40 (เรียกว่า Over-Breeding) จนกระทั่งได้ Job Level 50 แล้วค่อยไปเปลี่ยนอาชีพครั้งที่สอง หลังจากเปลี่ยนอาชีพ จะได้ Status Bonus มากยิ่งขึ้น ช่วยให้เก็บเลเวลได้ดี

3. พอเป็นอาชีพขั้นสองแล้ว มาไล่อัพสกิลเก่าๆ ที่ใช้เป็นทางผ่าน

ถ้าใครเคยเล่นถึงอาชีพขั้นสอง คงเห็นว่าสกิลส่วนใหญ่ก็เป็นสกิลเก่าแบบอัพเกรด (ยกเว้นบางอาชีพที่มีสกิลใหม่เกิน 10 สกิล) เช่น สกิล Weapon Mastery ตอนอาชีพขั้นแรก อัพได้ถึงเลเวล 10 พออาชีพขั้นสองก็อัพได้ถึงเลเวล 20 เป็นต้น
เนื่องจากเกือบทุกสกิลต้องการสกิลทางผ่านทั้งนั้น เช่น ถ้าอัพสกิล Weapon Mastery ไม่ถึงเลเวล 11 ก็อัพสกิลต่อไม่ได้ ดังนั้น ถึงเปลี่ยนเป็นคลาส 2 แล้ว ก็ต้องกลับมาอัพบางสกิลในคลาสแรกด้วย
เลือกเฉพาะสกิลที่ใช้เป็นทางผ่านก่อน อย่าเพิ่งไปอัพสกิลเก่าจนเต็มเลเวลสูงสุด เพราะยังมีสกิลใหม่ของคลาส 2 ที่ประสิทธิภาพสูง และน่าใช้ยิ่งกว่าให้เลือกอยู่หลายสกิล

ย้อนมาอัพสกิลทางผ่านให้สูงยิ่งขึ้น

 สกิลที่จำเป็นต้องมี

     หลังจากได้ Job Level 40 ก็ต้องมาดูล่ะว่าเลือกอัพสกิลอะไรดี สกิลไหนจำเป็น และสกิลไหนไม่จำเป็น ตอบง่ายๆ แบบครอบจักรวาลได้ว่า “ทุกสกิลที่เกี่ยวข้องกับอาชีพสายนั้น” อย่างเช่น อนาคตจะเป็น Archer ก็อัพสกิลของ Fighter ในส่วนที่เกี่ยวกับธนู เป็นต้น

     กรณีที่เล่นได้มากกว่า 1 สายก็เลือกสกิลให้เหมาะสมกับอาวุธเช่น Soldier เลือกได้ทั้งดาบสองข้าง และอาวุธถือทั้งสองมือ ก็ให้ดูรายละเอียดด้วยว่าสกิลไหนใช้กับอาวุธอะไรได้บ้าง
เกือบทุกสกิลจำเป็นหมด เพราะสกิลโจมตีมี Cool Time ค่อนข้างนาน อาชีพส่วนใหญ่จะเกิน 10 วินาทีขึ้นไป ดังนั้น ช่วงหลังได้อัพทุกสกิลอยู่แล้ว (ยกเว้นสกิลโจมตีก่อนเปลี่ยนอาชีพ) และบ่อยครั้งที่ต้องโจมตีปกติแทนการใช้สกิล

     คำถามสุดท้าย ถ้าต้องอัพเกือบทุกสกิลแล้ว จะเลือกเพิ่มระดับสกิลไหนกันก่อนดี ? อันนี้ดูตามความจำเป็น ว่าต้องการสกิลโจมตี หรือสกิลบัฟล่ะครับ ถ้าเป็นสกิลโจมตี แนะนำให้เลือกอัพ มี Cool Time น้อยๆ ก่อน เพื่อให้ใช้งานได้บ่อยขึ้นครับ

แชร์เรื่องนี้: