Prince of Persia :กำเนิดใหม่แห่งเจ้าชาย เต็มที่ด้วยสไตล์และความบรรเจิดศิลป์

แชร์เรื่องนี้:
Prince of Persia :กำเนิดใหม่แห่งเจ้าชาย เต็มที่ด้วยสไตล์และความบรรเจิดศิลป์

ประเภท: ACTION
ผู้พัฒนา: UBISOFT MONTRIAL
ผู้ผลิต: UBISOFT
ผู้จัดจำหน่าย: NEW ERA
เครื่องที่ต้องการ: 2.6 GHz DUAL CORE CPU, 1GB RAM, 256MB Pixel Shader 3 DirectX 9.0c/10 GRAPHIC CARD, 9GB HD SPACE
เครื่องที่แนะนำ: 3.0 GHz DUAL CORE CPU, 2GB RAM, 512MB GRAPHIC CARD
จำนวนผู้เล่นสูงสุด: 1
ESRB RATING: T

     ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสี่ปีก่อน มันออกจะเป็นเรื่องประหลาดจนเหลือเชื่อ ที่ Ubisoft คิดจะปลุกผีซีรีส์เกมแอ็กชั่นผจญภัยรุ่นคุณปู่ที่สูญหายตายจากความทรงจำของผู้เล่นอย่าง Prince of Persia ให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยภาค Sand of Time (หลังจากที่ค่าย Red Orb Entertainment กระหน่ำย่ำยีเสียจนเละไม่มีชิ้นดีใน Prince of Persia 3D จนเผินๆ เหมือนหมดสิทธิ์แจ้งเกิด)

แม้ Prince of Persia จะขึ้นชื่อเรื่องความงดงามมีเอกลักษณ์ของงานศิลป์
แต่เป็นครั้งแรกของซีรีส์ที่มันโดดเด่นบรรเจิดและเฉิดฉายด้วยสไตล์ที่แหวกแนวเช่นนี้

      แน่นอนว่าผลสัมฤทธิ์สุดท้ายนั้นเป็นเช่นไรเราต่างทราบกันดี ด้วยรางวัลและรายได้ถล่มทลาย กับอีกสองภาคที่ตามมาอย่าง Warrior Within และ The Two Thrones เป็นดั่งหลักประกันชั้นดีว่าซีรีส์นี้ยังคงมีเสน่ห์เพียงพอที่จะสานต่อในโลกแห่งเกมสมัยใหม่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ดังนั้นจงอย่าแปลกใจที่ทาง Ubisoft Montreal มีแผนที่จะเข็นภาคต่อของซีรีส์เจ้าชายให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง แต่จะสานต่ออย่างไร ในเมื่อไตรภาคแห่งทรายกาลเวลาได้ปิดฉากลงไปอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว?

     กล่าวโดยสรุป นี่คือ ‘การกำเนิดใหม่’ ที่ย้อนกลับไปสู่จุดตั้งต้นแห่ง Prince of Persia ชนิดที่แยกขาดเป็นเอกเทศจากไตรภาคที่แล้วโดยสิ้นเชิง มันมาพร้อมงานศิลป์แบบใหม่ รูปแบบการเล่นใหม่ เนื้อเรื่องใหม่ ที่แม้จะให้รสชาติที่แตกต่างออกไปจากของเดิมไปบ้าง แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือและพลังที่มากพอที่จะร่ายมนตร์เข้าสู่จิตใจของผู้เล่นทุกคนได้อย่างไม่ยากเย็นเลย

เจอศัตรูที่ยากแก่การต่อกร? เรียกใช้บริการเวทมนตร์ของ Elika สิ
เพราะเธอสามารถทะลวงเกราะหรือสร้างจังหวะให้กับเจ้าชายได้เพียงกดแค่ปุ่มเดียว

     สำหรับ Prince of Persia ภาคล่าสุดนี้ ผู้เล่นจะได้รับบท ‘เจ้าชายคนจร’ ที่ไร้ซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ เป็นเพียงแค่ขุนโจรธรรมดาคนหนึ่งที่หากินกับการปล้นสุสานไปวันๆ จนกระทั่งพลัดหลงมายังดินแดนลับแลแห่ง Ahura และพบว่าเรื่องราวทั้งหลายไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อ Ahriman เทพเจ้าแห่งความมืดในตำนาน กำลังจะหนีจาก Tree of Life ที่คุมขังโบราณที่ถูกสร้างโดย Ormazd เทพแห่งแสงสว่าง และพร้อมที่จะย้อมโลกให้ตกอยู่ในความมืดมิดสาสมกับที่รอคอยมานับพันๆ ปี และใครเล่าจะหยุดยั้งเทพแห่งความชั่วร้ายนี้ลงได้? ถูกแล้ว เจ้าชายผู้อยู่ถูกที่ แต่ผิดเวลาคนนี้ อีกตามเคย…

     แต่อย่างน้อยที่สุด การผจญภัยรอบนี้ของเจ้าชายก็ไม่ได้เงียบเหงาลำพัง เพราะเขามีผู้ช่วยสาวอย่างองค์หญิง Elika เจ้าแห่งมนตราคอยร่วมฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกของซีรีส์ PoP ที่มีผู้ช่วยสาวอยู่สู้รบและแก้ปริศนาไปด้วยกัน (เพราะในไตรภาคที่แล้ว ก็มีองค์หญิง Farah และ Kaileena ร่วมทางไปด้วย) แต่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ตัวละครอย่าง ‘องค์หญิง’ สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับทุกช่วงการเล่นตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไม่ขาดตอน เธอจะคอยช่วยเหลือเจ้าชายในการฝ่าพื้นที่และกับดักสุดอันตราย คอยช่วยแก้ปริศนา รวมถึงร่วมต่อสู้ในจังหวะต่างๆ ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ต้องชมการเขียน AI ของทีมพัฒนาที่สามารถรังสรรค์ตัวละครนี้ให้มีชีวิตชีวาและมีประสิทธิภาพ เพราะผู้เล่นสามารถเรียกใช้เธอได้ด้วยการกดปุ่มแค่เพียงปุ่มเดียว ซ้ำเธอจะไม่คอยรั้งให้ผู้เล่นล้าหลัง หรือนำหน้าเสียจนไล่ตามไม่ทันดังที่อาจจะเกิดขึ้นในเกมอื่นๆ รวมถึงการ ‘ปฏิสัมพันธ์’ ระหว่างเธอกับเจ้าชาย ตัวละครหลักของผู้เล่นนั้นดูมีมิติมากขึ้นกว่าเดิม เพราะผู้เล่นสามารถเลือกที่จะ ‘คุย’ กับเธอได้ในทุกเวลา แม้จะเป็นลูกเล่นเล็กน้อยไม่สลักสำคัญ (คุณไม่จำเป็นต้องคุยกับเธอเลยก็ย่อมได้) แต่ประโยคสนทนาทั้งหลายก็ได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี และบ่งบอกทัศนคติที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองคน ที่ค่อยๆ หลอมรวมกันเป็นความผูกพัน สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้เล่นได้มากกว่าการฉายคัตซีนธรรมดาทั่วไป (หนำซ้ำ หลายต่อหลายประโยค ยังมีกลิ่นอายพ่อแง่แม่งอนที่ได้ฟังแล้วก็จั๊กจี้ในหัวใจอยู่ไม่น้อย)

Wings of Ormazd หนึ่งในสี่ความสามารถพิเศษที่มีให้ปลดล็อกในเกม
ช่วยให้คุณบินทะยานในน่านฟ้าได้อย่างเสรี (แม้มันจะจำกัดอยู่แค่การเล่นแบบ Platforming ก็ตาม)

     แน่นอนว่าความคล่องตัวของ Elika คงไม่เกิดประโยชน์ใด ถ้าการเคลื่อนไหวของเจ้าชายไม่สัมพันธ์กัน Prince of Persia ภาคนี้ยังคงมีเสน่ห์ และหัวใจสำคัญของซีรีส์คือการฝ่าด่านในสไตล์ Platforming อันรวดเร็วฉับไวไว้ไม่ขาดหายไปไหน แต่ทุกอย่างนั้นง่ายขึ้น เพราะทุกการเคลื่อนไหว ทั้งการไต่กำแพง การกระโดดโหนราว การเกาะขอบผา สามารถกระทำได้ด้วยการกดปุ่มแค่เพียง ‘ครั้งเดียว’ เช่นกัน อาทิ การไต่กำแพงที่ผู้เล่นต้องกะจังหวะและกดปุ่มค้างเอาไว้ในสามภาคก่อนหน้านั้น มาในคราวนี้ทุกการเคลื่อนไหวจะเบ็ดเสร็จและสำเร็จในคราวเดียว ไม่จำเป็นต้องกดค้าง เหลือเพียงแค่การกะจังหวะเพื่อให้เข้ากับอุปสรรคอื่นๆ ที่รอคอยอยู่ข้างหน้าแต่เพียงเท่านั้น ความเรียบง่ายที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในภาคนี้ เพราะหลายครั้งที่อุปสรรคมีความต่อเนื่อง เช่น การไต่กำแพงถึงห้าชุดต่อเนื่องกัน หรือใช้กรงเล็บสไลด์จากยอดสูง ก่อนจะกระโดดชิ่งไปยังบาร์โหน เป็นต้น ยังไม่นับรวมถึงบรรดา ‘พลัง’ ทั้งสี่ที่ผู้เล่นสามารถปลดล็อกเพื่อใช้ในการเข้าถึงพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าได้จากการเล่นปกติ ทั้งพลังกระโดด วิ่งไต่กำแพง หรือแม้กระทั่งบินไปบนท้องฟ้า ซึ่งช่วยเพิ่มมิติในการเล่นแบบ Platforming ได้ดีมากๆ อีกเช่นกัน

การเล่นแบบ Platforming ที่เป็นเสน่ห์ของซีรีส์ ก็ยังคงมีอยู่ครบถ้วนไม่หายไปไหน

     ระบบการต่อสู้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง อาจจะพูดได้ว่า Prince of Persia ภาคนี้ ลดความถี่ในการปะทะกับเหล่าศัตรูลงไปหลายส่วน และแทนที่ด้วยความเข้มข้นแบบถึงน้ำถึงเนื้อเป็นรายตัวแทน เพราะในพื้นที่ทั้งสี่ที่มีในเกม (ซอยย่อยออกเป็นพื้นที่ละห้า) ในช่วงท้ายเราจะต้องปะทะกับ ‘บอส’ เพื่อเปิดทางในการเยียวยารักษาดินแดนนั้นๆ จากความมืดของ Ahriman เช่นเคย การออกท่วงท่าของเจ้าชายจะกำหนดจากคำสั่งทั้งสี่คือ ดาบ กรงเล็บ ซัดลอยขึ้นฟ้า และเวทมนตร์ของ Elika ซึ่งแต่ละคำสั่งสามารถผสานร่วมกันเป็นท่วงท่าคอมโบต่อเนื่องที่รุนแรงและสวยงามติดตาได้อย่างไม่ยากเย็น (ที่ผมลอง สามารถซัดได้ประมาณ 8 คอมโบ จากสูงสุด 14-15 คอมโบ)

     ในส่วนของงานศิลป์ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง Prince of Persia ภาคนี้ เลือกใช้งานศิลป์ผสานกันระหว่างกราฟิกสามมิติกับ Cel-Shade แบบการ์ตูน ให้ความรู้สึกที่สวยงาม แปลกตา และชวนฝัน เข้ากันได้ดีกับเนื้อหากึ่งนิทานปกรณัมของภาคล่าสุด และไม่กินสเป็กเครื่องมากนัก ด้วยเครื่องกลางเก่ากลางใหม่ของผม สามารถรันได้ในความละเอียดสูง และให้เฟรมเรตเป็นที่น่าพอใจ นอกจากนั้นมันยังให้รายละเอียดปลีกย่อยหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถให้ได้จากการใช้กราฟิกแบบสามมิติเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ความพลิ้วไหวของผ้าพันคอของเจ้าชาย แขนเสื้อของ Elika ใบไม้พัดไหว หรือแม้กระทั่งพื้นบรรดาเมือกในพื้นที่ที่ถูกความมืดแห่ง Ahriman ครอบงำก็ยังสวยงามและน่าดูชมเอามากๆ

แม้สองเราจะแตกต่าง แต่ก็ยังร่วมทางกันได้เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
(ลองกดคุยกับ Elika บ่อยๆ นะครับ)

     แต่กระนั้นท่ามกลางบรรดาข้อดีและจุดเด่นอันมากมายที่กล่าวไป มันก็ไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่สำคัญไปได้ว่า Prince of Persia ภาคนี้นั้น ‘ง่าย’ เหลือเกิน และอาจจะเป็นภาคที่ง่ายที่สุดในบรรดาทั้งหมดที่เคยมีมา ความหฤโหดและการกำหนดจังหวะที่ชี้เป็นชี้ตายในซีรีส์กลายเป็นเรื่องขำๆ ทั้งการกระโดดข้ามหน้าผาที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องกะจังหวะใดๆ หรือการเฟดหน้าจอเป็นสีเทาเพื่อบอกให้รู้ว่าต้องเรียกใช้ Elika ลดความท้าทายลงไปอย่างน่าใจหาย อ้อ! ผมบอกไปหรือยังครับว่าเกมนี้คุณไม่มีทาง ‘ตาย’ แน่ๆ เพราะเมื่อใดที่คุณไต่หน้าผาพลาด หรือเสียท่าให้กับศัตรูระหว่างการต่อสู้ องค์หญิง Elika ผู้แสนดีจะยื่นมือเข้ามาช่วยให้คุณรอดพ้นจากขอบผานรกอยู่ร่ำไป (ไตรภาคทรายกาลเวลาเองก็อาจจะมีระบบ Time Reverse แต่ก็ไม่ได้สะดวกขนาดนี้แน่ๆ)

มั่นใจในทุกย่างก้าว เพราะ Elika จะคอยช่วยเหลือคุณไม่เว้นแม้แต่ยามพลาดท่าเพลี้ยงพล้ำ
ดังเช่นในภาพนี้

     หรือในส่วนของการต่อสู้ ที่แม้จะเล่นได้ง่าย สวยงามน่าดูน่าชม และเรียบเรียงเนื้อหาได้อย่างสุดยอด แต่ด้วยปริมาณบอสที่แสนจำกัดเพียงแค่สี่ตัว (ไม่นับรวมบอสใหญ่และบรรดาลูกน้องปลายแถวระหว่างทาง) นั้น มันควรจะมีอะไรที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์มากกว่านี้ แต่ทั้งสี่กลับมีรูปแบบที่เหมือนกันไปหมดคือ กะจังหวะ หาทางสวนกลับ และต่อคอมโบ วนเวียนซ้ำไปมาไม่รู้จบ (จะมีอยู่ตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะต้องใช้สิ่งกีดขวางเพื่อการกำจัด แต่มันก็เท่านั้น) แถมจังหวะสวนกลับก็มีไอคอนบอกเสียเสร็จสรรพ ชนิดที่ไม่เรียกว่าอยากให้พลาดกันเลยแม้สักนิด และถ้าจะหวังถึงพลังทั้งสี่ที่ปลดล็อกได้ ก็คงต้องบอกว่าพลาดเสียแล้ว ทั้งหมดมีไว้เพียงเพื่อการแก้ปริศนาในการเล่น Platforming แต่เพียงเท่านั้น หาได้มีประโยชน์สำหรับการอื่นๆ ใดไม่ (สี่อัน แต่แบ่งได้เป็นแค่สองประเภทใหญ่ๆ คือแบบปล่อยไปตามทาง หรือเลือกบังคับเอา) เรียกได้ว่า ถ้าจะ Back to the Basic ก็คงจะถอยหลังไกลเกินไปเสียแล้ว เพราะแม้แต่ PoP 2 ในภาค Dos เอง ก็ยังมีความสามารถในการต่อสู้ไว้ใช้ ไม่ต้องเอ่ยถึงไตรภาคทรายกาลเวลาเลย เพียงเท่านี้ก็ทำให้ภาคล่าสุด ดูจืดจนน่าใจหายไปเลยด้วยซ้ำ แถมบรรดา Light Seed ที่มีให้เก็บหลังจากผ่านด่านหนึ่งๆ (ผมขอเรียกมันว่าด่านก็แล้วกัน) นั้น ก็ดูจะมีแรงจูงใจที่น้อยเกินไป และมีเหตุผลไม่เพียงพอว่านอกจากปลดล็อกความสามารถทั้งสี่แล้ว จะมีเหตุผลใดที่จะทำให้ผู้เล่นต่างยอมทุ่มเทอย่างบ้าคลั่งเพื่อไล่เก็บให้ครบทั้ง 1,001 เม็ดอีก

เล่นๆ ไปคุณจะสามารถปลดล็อกชุดใหม่ๆ อาทิ Altair จาก Assassin’s Creed
กับ Jade จาก Beyond Good and Evil ซึ่งเป็นเกมของค่าย Ubisoft ได้

     สุดท้าย ถ้ามองในแง่ของความท้าทายในเกมการเล่น Prince of Persia ภาคล่าสุด อาจจะสอบตก เป็นได้แค่ ‘ภาพยนตร์ Interactive ที่ตอบสนองได้’ ไม่สามารถเทียบได้กับความสนุกสะใจที่ไตรภาคทรายกาลเวลาได้เคยมอบไว้ให้ (ชนิดทะลุเพดานบิน) มันทั้งสั้น (เฉลี่ยความยาวประมาณ 10 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้าไม่บ้าไล่เก็บ Light Seed) ง่ายสุดใจ และคุณค่าในการนำกลับมาเล่นซ้ำใหม่ก็แทบจะไม่มี (เว้นเสียแต่คุณอยากจะเก็บสกินของตัวละครไว้เปลี่ยนแก้เซ็ง) แต่ถ้ามองในแง่ของคุณค่าในการสร้าง องค์ประกอบศิลป์ชวนฝัน ระบบที่แสนเรียบง่าย และความสนุกในแง่ของ Platforming นั้น ก็คงต้องบอกว่ามันยังคงมีเสน่ห์ที่ล้นเหลือ และมีรากฐานที่แข็งแรงมากพอ ที่พร้อมจะรอคอยการเติบใหญ่และต่อยอดไปสู่บางสิ่งที่ทรงคุณค่ายิ่งๆ ขึ้นไป เฉกเช่นที่ Sand of Time ได้เคยทำไว้เมื่อสี่ปีก่อนนั่นล่ะครับ

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ