ผมขอนำเสนอผลงานรีวิวของเว็บไซด์เกมชื่อดัง GameSpot ถึงเกมลูกผสมระหว่าง RTS และการ์ดเกมของค่าย EA อย่าง BattleForge ซึ่งได้สร้างความประทับใจให้กับคอเกมวางแผนและเซียนการ์ด ด้วยความมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและทำให้คอเกมสองประเภทได้สนุกไปพร้อมๆกัน
จุดเด่น
• ผสมผสาน RTS (real-time strategy ) และ CCG (collectible card game) ได้อย่างลงตัว
• ฝึกไหวพริบด้วยระบบ Competitive multiplayer
• การออกแบบเด็คมีความหลากหลายและสร้างสีสันให้กับตัวเกม
• ไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน
จุดด้อย
• เนื้อเรื่องยาว ชวนขี้เกียจอ่าน
• มีภารกิจในโหมด campaign แค่ 19 ภารกิจ
• interface ในส่วนของ Auction ยังทำได้ไม่ดีนัก
ในแวดวงเกม PC นานๆทีเราจึงจะได้เห็นเกมลูกผสมที่มีความแปลกใหม่และประสบความสำเร็จได้เท่า BattleForge เกมที่เกิดจากการนำ real-time strategy (เกมวางแผน) มารวมกับ collectible card game (เกมการ์ด) ก่อให้เกิดเกมประเภทใหม่ที่เรียกกันว่า RTS card game ผลลัพธ์ก็คือ เราได้เกม RTS ล้ำยุคซึ่งเอื้อให้ผู้เล่นคิดวางแผนได้อย่างอิสระ พร้อมกับการ์ดเกมซึ่งปลุกชีพกองทัพศัตรูและยูนิตใต้บังคับบัญชาของเราให้มีชีวิตจริง ไม่ต้องกลายเป็นแค่กระดาษแบนๆอีกต่อไป แม้ว่า BattleForge จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนน้อย เทียบกับการที่ตัวเกมสามารถสร้างแรงดึงดูดต่อแฟนๆเกมทั้งสองประเภทได้ (เข้าข่ายยิงปืนนัดเดียวได้นกสองฝูง)
งานนี้ไม่ต้องสร้างโรงฝึกให้เสียเวลา Summon กองกำลังเสริมได้ทุกที่ ขอแต่มีพื้นให้เหยียบก็พอ
หนึ่งในจุดแข็งของ BattleForge คือ การผสมผสาน real-time strategy เข้ากับระบบ Card game ได้อย่างแนบเนียน ผู้เล่นสามารถควบคุมกองทัพสัตว์อสูรในโลกแฟนตาซี ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่มหึมา จากนั้นก็เลือกทำภารกิจผ่านระบบการต่อสู้แบบ real-time โดยการใช้เม้าส์ควบคุมคลิ๊ก ลาก และจัดวางตำแหน่ง เหมือนเกม RTS มาตรฐานทั่วไป แต่แทนที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อผลิตยูนิตต่างๆ เกมกลับแหวกแนวโดยให้ผู้เล่นใช้การ Summon เรียกกองทัพลงมาในสนามรบโดยตรงโดยการวางการ์ดลงบนสนามประลองการ์ด (onscreen deck) เช่นเดียวกับการสร้างป้อมปราการป้องกันและการร่ายเวทย์ต่างๆ ทั้งการ heal การทำ damage และการสั่งให้ยูนิตทุกตัวร่ายเวทย์พร้อมๆกัน แน่นอนว่าการ์ดแต่ละใบมีค่าร่ายที่แตกต่างกัน ผู้เล่นจึงจำเป็นต้องยึดแหล่งพลังงาน (ตามเกมเรียกว่า power wells) เพื่อใช้ในการสนับสนุนกองทัพ รวมถึงอนุสาวรีย์ก็มีความสำคัญต่อผู้เล่นเนื่องจากเป็นแหล่งสร้างลูกแก้ว (orbs) ที่ใช้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับการ์ด สำหรับการเริ่มเกม ผู้เล่นจะได้รับการ์ดเลเวล 1 พร้อมกับลูกแก้ว 1 ลูก แต่เมื่อผู้เล่นสร้างลูกแก้วลูกที่สองได้ ผู้เล่นก็จะสามารถพัฒนาการ์ดให้เป็นการ์ดเลเวล 2 ได้ นี่คือเหตุผลว่า ทำไมการบุกยึดและป้องกันอนุสาวรีย์กับแหล่งพลังงาน จึงมีความสำคัญต่อแผนยุทธศาสตร์ ในส่วนของกลยุทธ์ หนึ่งในเทคนิคสำคัญคือการเลือกยูนิตโจมตีฝ่ายเราให้ถูกกับยูนิตป้องกันของฝ่ายตรงข้าม อีกข้อหนึ่งคือ การที่ผู้เล่นต้องตัดสินใจเลือกว่าจะ summon กองทัพบริเวณที่ตั้งกองกำลังภาคพื้นดินและป้อมปราการเพื่อสร้างความเสียหายให้กับยูนิตฝ่ายตรงข้ามโดยลดพลังชีวิตและทำให้สูญเสียอบิลิตี้ หรือจะ summon พวกมันใกล้ๆกับแหล่งพลังงานและอนุสาวรีย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกองทัพระยะยาว
แน่นอนว่าการเล่น RTS ใน BattleForge ค่อนข้างออกแนวบู๊ แต่ผู้เล่นสายบุ๋นก็ยังสามารถรื่นรมย์กับการวางแผน ออกแบบ จัดเด็ค นอกสนามรบได้ ผู้เล่นสามารถจัดเด็คให้มีรูปแบบแตกต่างกันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ หรือ "รสนิยม" ของผู้เล่นแต่ละคน เด็คๆหนึ่งสามารถมีการ์ดได้สูงสุด 20 ใบ แต่ละใบอาจเป็นธาตุใดธาตุหนึ่งในจำนวน 4 ธาตุ ไฟสีแดง), น้ำแข็ง(สีน้ำเงิน), ธรรมชาติ(สีเขียว), เงา(สีม่วง) เช่นเดียวกับลูกแก้วที่ผู้เล่นใช้ในสนามรบก็จะถูกกำหนดโดยใช้สี และผู้เล่นก็ต้องตัดสินใจด้วยว่าจะเลือกสร้างลูกแก้วสีไหนเมื่อบุกยึดอนุสาวรีย์ได้แล้ว ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเลือกเล่นธาตุเงา คุณก็จำเป็นจะต้องใช้ลูกแก้วสีม่วง เป็นต้น แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องซับซ้อนที่จะรู้แน่ชัดว่าเราควรใช้ลูกแก้วสีไหนบ้าง หรือจำนวนเท่าไร แต่ระบบก็ทำมาให้เราสามารถจัดการได้ไม่ยากจนเกินไป
เช่นเดียวกับเกมการ์ดทั่วๆไป เด็คของผู้เล่นจะแข็งแกร่งขึ้นก็ต่อเมื่อมีสีอื่นๆอยู่ด้วย แต่ตัวเกมก็เอื้อให้เล่นได้อิสระโดยไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามนั้นเสมอไป เริ่มต้นเกมผู้เล่นจะได้รับชุดการ์ดเริ่มต้นทั้งหมด 4 เด็ค พร้อมกับค่า BattleForge 3,000 พ็อยท์ ซึ่งค่าพ็อยท์ในส่วนนี้สามารถใช้ซื้อการ์ดจากผู้เล่นอื่นๆหรือจากเกมโดยตรงเลยก็ได้ ทั้งแบบเป็นชุด (การ์ดลับ 8 ใบราคา 250 BF พ็อยท์) หรือเป็นเล่ม (1 เล่มมี 6 ชุดราคา 1,250) ชุดๆหนึ่งจะมีแรร์การ์ด หรือแรร์การ์ดขั้นสูง 1 ใบ ซึ่งเราอาจหมุนเงินโดยการขายต่อให้ผู้เล่นอื่นเพื่อเอาค่าพ็อยท์มาใช้ซื้อชุดการ์ดชุดต่อไปก็ได้ โดยปรกติแล้ว เกมจะให้การ์ดและค่าพ็อยท์เริ่มต้นเพียงพอที่ผู้เล่นจะใช้เล่นได้อีกยาวไกล แต่ถ้าไม่พอ(ใจ) ผู้เล่นสามารถซื้อค่าพ็อยท์เพิ่มได้ในราคา $6.62 สำหรับ 500 พ็อยท์ และ $26.56 สำหรับ 2,250 พ็อยท์ การทำภารกิจสำเร็จนั้นผู้เล่นจะไม่ได้รับการ์ดใหม่ แต่จะได้รับสิทธิในการอัพเกรดแทน ซึ่งก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเด็คของผู้เล่นได้เช่นกัน
อยากได้กองทัพมนุษย์หมาป่าเก่งๆ ก็ต้องอัพเกรดการ์ดให้พวกมันเป็นมนุษย์หมาป่าเทพไปเลย
ในทางกลับกัน แม้ BattleForge จะโดดเด่นในการผสาน 2 แนวได้อย่างพอดี แต่ในส่วนของตัวเกมก็ยังดูขัดๆระหว่างระบบการเล่นกับเนื้อเรื่อง จะเห็นได้ว่าแทบไม่มีรายละเอียดอะไรเลยในส่วนของเนื้อเรื่อง แถมตัวละครในเรื่องก็ยังไม่มีพัฒนาการซะอีก ผู้เล่นจะรู้สึกผูกพันกับเด็คมากกว่าผูกพันกับ NPC ในเรื่องซะด้วยซ้ำ แม้ว่าตัวเกมจะมีเนื้อเรื่องยืดยาวที่อธิบายต้นสายปลายเหตุที่เราต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเหล่าปีศาจกุ้งหอยปูปลาสีม่วง แต่ก็เป็นแค่การเล่าผ่านหนังสือ ซึ่งผู้เล่นจะเลือกอ่านหรือไม่อ่าน ที่ยุ่งยากยิ่งกว่านั้นคือ ตัวเกมจะไม่ทำการเซฟสถานะของเราระหว่างที่อ่าน ดังนั้นผู้เล่นจึงต้องคอยคลิ๊กหน้าหนังสือเป็นสิบๆหน้าเพื่อที่จะไปอ่านส่วนที่ยังไปไม่ถึง ในส่วนเนื้อเรื่องหลักๆมีอยู่ว่า นานมาแล้ว พระเจ้าได้ให้พรแก่เรา (ผู้เล่น) เพื่อตอบแทนความกล้าหาญที่ได้ทำสงครามต่อสู้กับพวกยักษ์ โดยแต่งตั้งเป็น Skylord ตลอดระยะเวลาหลายปี เราได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการใช้ Forge of Creation ในการ summon เหล่าอสูรแห่งโลกจินตนาการ (พร้อมกับฆ่าเวลาโดยการเล่นการ์ดกับ Skylord คนอื่นๆด้วย- เป็นงานอดิเรกที่เทพมากครับ) แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าไม่ทรงปรากฏพระองค์อีกแล้วในยามที่มนุษยชาติเดือดร้อน จึงถึงคราวที่เราจะต้องใช้พลังที่มีช่วยเหลือผู้คน ถึงกระนั้น เราก็อาจเลือกที่จะเพิกเฉยต่อมนุษยชาติเพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายคือเอาชนะ Skylord คนอื่นๆจนถึงที่สุดได้ ถ้านั่นเป็นวิถีของคุณ
แน่นอน ตามเนื้อเรื่องในโหมด campaign ดูเหมือนว่าเราจะต้องแสดงความเป็นฮีโร่ที่เลือกช่วยเหลือมนุษยชาติ – ถึงแม้ว่าเหล่ามนุษย์ที่ว่าจะเป็นพันธมิตรที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าไร แถมยังคอยแต่ก่อกวนเรา เป็นต้นว่าจู่ๆพี่ท่านก็ส่งรถเกราะออกไปเลยทั้งๆที่เรายังไม่พร้อมแท้ๆ ในส่วนของโหมด campaign ประกอบด้วยภารกิจทั้งหมด 19 ภารกิจ ซึ่งแต่ละภารกิจจะมีจำนวนผู้เล่นที่ต้องเข้าร่วมภารกิจนั้นๆต่างกัน ตั้งแต่ 1 ถึง 12 คน ในภารกิจใหญ่ๆ การหาผู้เล่นได้ครบตามจำนวนที่ต้องการในภารกิจจะมีส่วนช่วยในการปฏิบัติการณ์มาก แต่อย่างที่รู้ๆกัน มากคนก็มากเรื่อง เป็นต้นว่าอาจเจอเพื่อนร่วมทีมที่เอาเปรียบในการปันส่วนทรัพยากร หรือไม่ก็เอาแต่รีบเล่นให้พอชนะเร็วๆเท่านั้น หนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ BattleForge คือเนื้อเรื่องจบเร็วเกินไป และถึงแม้ผู้เล่นจะเลือกทำภารกิจในระดับความยากแบบ standard, advanced, และ expert เพื่อช่วยให้เล่นได้นานขึ้นได้ แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างจะงี่เง่า ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย
ไม่ถูกใจมอนสเตอร์ในกองการ์ด ก็ไปซื้อใหม่ได้ที่ auction house
สำหรับเกม RTS และการ์ดเกม การเล่นแบบ multiplayer ถือเป็นสเน่ห์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง และ BattleForge ก็ทำออกมาได้ไม่เลวทีเดียว ตัวเกมให้แผนที่มา 12 แผนที่ ซึ่งออกแบบมาสำหรับการเล่นแบบหนึ่งต่อหนึ่งหรือสองต่อสอง(?)โดยเฉพาะ และนั่นเป็นโอกาสที่จะทำให้เราได้ PVP กับผู้เล่นที่มีเลเวลใกล้เคียงกัน แน่นอนว่าการมีการ์ดเก่งๆอยู่ในเด็คย่อมสร้างความได้เปรียบในการต่อสู้ แต่สำหรับ BattleForge สิ่งสำคัญในการต่อสู้คือทักษะ หนึ่งคือการจัดเด็คให้มีประสิทธิภาพ สองคือการวางกลศึกเชิงรุกที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ และสาม การตีโต้คู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในสนามต่อสู้ ถึงแม้จะไม่มีม่านหมอกมาบดบังทัศนวิสัย ผู้เล่นสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ก็จริง แต่คุณก็จะไม่มีวันรู้ว่าคู่ต่อสู้กำลังทำอะไรอยู่ ฝ่ายตรงข้ามสามารถ summon ยูนิตขึ้นมาได้ทุกที่ที่มีพื้นดิน ซึ่งอาจหมายถึงกลางฐานทัพคุณเลยก็เป็นได้! ดังนั้น ผู้เล่นจำเป็นต้องคิดและสำรองพลังงานให้เหลืออยู่ในมือพอที่จะ summon ยูนิตมาทำการตีโต้ให้ได้ และผู้เล่นยังต้องคอยประเมินสถานการณ์ว่าเมื่อไรที่คู่ต่อสู้มีพลังงานเหลือน้อย เพื่อที่จะเจาะทะลวงจุดอ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกนี้เป็นตัวอย่าง 2-3 ข้อของการ summon ยูนิตในชั่วพริบตา ซึ่งช่วยให้การเล่นแบบ multiplayer ตื่นเต้น รวดเร็ว และมีพัฒนาการต่อเนื่อง
ฟากระบบ Interaction และสังคมของ BattleForge นั้นสามารถทำได้หลายอย่าง แต่ในขณะเดียวกันกลับเป็นส่วนที่มีจุดบกพร่องในตัวของมันเอง หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ auction house สถานที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นซื้อขายแลกเปลี่ยนการ์ดโดยใช้ค่า BattleForge แม้ว่าระบบค้นหาการ์ดตามสี, เลเวลของลูกแก้ว (1, 2, 3, หรือ 4) ระดับความหายาก และประเภท (ยูนิต, เวทย์มนตร์, ป้อมปราการ) จะทำออกมาได้ดี แต่เราก็ไม่สามารถเลือกผลการค้นหาตามราคาหรือเวลาที่มีอยู่ได้ เช่นกัน ผลการค้นหาสามารถทำได้เพียงครั้งละ 50 เท่านั้น และยังแสดงการ์ดได้เพียง 5 ใบในแต่ละครั้ง นอกจากนั้น องค์ประกอบที่ควรได้รับการปรับปรุงคือเรื่องของห้องสนทนา การแลกเปลี่ยนการ์ดผ่านห้องสนทนา ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้พบปะกันง่ายขึ้น แต่ยังสร้างสะพานเชื่อมให้กับผู้เล่น BattleForge ชาวอเมริกันและยุโรป ให้มีโอกาสพบปะกันแม้ว่าจะอยู่ต่างชาติต่างภาษาก็ตาม
ภาพรวมของ BattleForge หากดูเผินๆอาจจะดูคล้ายคลึงกับ RTS คลาสสิคอย่าง Warcraft III แต่ตัวเกมก็ได้สร้างความแตกต่าง โดยการระดมทัพสัตว์อสูรต่างขนาดทั้งเล็กและใหญ่มาลงสนาม มนุษย์หมาป่า, แมลง, โครงกระดูก, มังกร, หนอนยักษ์ และพวกมอนสเตอร์ตัวกลมป้อม พวกนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสัตว์อสูรทั้งหมดในกระบวนทัพ พวกมันทำให้เราได้สัมผัสความยิ่งใหญ่เหนือจริงของตัวเกม ที่น่าสนใจคือเกมยังได้ใส่อารมณ์ขันเล็กๆน้อยๆลงไปด้วย เช่น เมื่อเรา summon กองกำลังเสริม เรือเหาะก็จะทำการโปรยกระดาษสายรุ้งลงมา หรือการที่ Fathom Lord ทำให้เหล่ามนุษย์กุ้งเต้นระบำเมื่ออยู่นิ่งๆ ด้านกราฟฟิคและเสียงจัดได้ว่าระดับมืออาชีพ ส่วนเอฟเฟคก็ทำออกมาได้เป็นที่น่าพอใจ เสียงพากษ์ของยูนิตชัดเจนสมจริง ส่วนทำนองเพลงประกอบก็ได้รับการประพันธ์อย่างไพเราะและมีชีวิตชีวา
ถึงจะต้องจัการเจ้าบอสตัวนี้ ผู้เล่นก็ยังมียูนิตยักษ์ใหญ่อยู่ในมือพอที่จะถล่มโตเกียวได้
ว่าแล้วเอาเลยไหมพวก?
โดยสรุปแล้ว BattleForge โดดเด่นไม่เพียงแต่เพราะมันผสนผสามเกม 2 รูปแบบไว้ได้อย่างลงตัว หรือเพราะมันมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เล่นได้จริง และสนุก แต่ยังเป็นเพราะมันทำให้แฟนๆ RTS สนุกไปกับการ์ดเกมได้ ผมแนะนำให้คุณลองเล่น ถ้าคุณเป็นแฟนเกมไม่แนวใดก็แนวหนึ่ง (ผมหมายถึง RTS และ CCG) แล้วคุณจะได้สนุกติดหนึบอยู่กับหน้าจอ BattleForge จากนี้ไปอีกหลายเดือน (เอาหัวเจ้าของบทความนี้เป็นประกัน)