บู๊เลือดสาดไม่มีหยุด
G. FORD: หลังจากหนึ่งชั่วโมงแรกของการเล่นแบบตะพึดตะพือยาวสามวันเพื่อรีวิวเกม Gears of War 2 ความประทับใจแรกที่แวบเข้าหัวทำให้ผมคิดว่านี่คือ “Gears 1.5” ระบบการต่อสู้ของเกมยิงมุมมองบุคคลที่สามที่พลาดไม่ได้เกมนี้เหมือนเดิมเด๊ะ ไม่เว้นแม้แต่ปัญหารองๆ จากภาคก่อน เช่น การที่ตัวละครติดล็อกกับกำแพงหรือวัตถุต่างๆ ในส่วนของภาพยังคงความอลังการไว้ได้อีกครั้ง (มันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่นา) โหมดแคมเปญเปิดตัวในโรงพยาบาลโทรมๆ พร้อมกับ Marcus กับ Dom สมาชิกหน่วย Delta หุ่นล่ำกำลังจะเริ่มแจกกระสุน แต่เมื่อคุณเจาะเข้าสู่เนื้อของมหากาพย์ภาคต่อที่รอคอยสิ่งที่คุณปลื้มจะเป็นเรื่องราวเบื้องลึก มัลติเพลเยอร์ที่พัฒนาขึ้น ศัตรูหน้าใหม่ โหมดใหม่ๆ และอาวุธแบบใหม่ที่ใส่เข้ามาให้ตัวเกมยังคงมีระบบการเล่นที่สุดยอดที่สุดแห่งยุคนี้ (คงไม่ต้องพูดถึงระบบ Active-Reload ที่ดีอยู่แล้วอีกนะ)
ครั้งนี้มนุษยชาติจะต้องสู้รบกับพวก Locust โดยมีจุดสนใจอยู่ที่ชะตากรรมของ Jacinto ฐานที่มั่นสุดท้ายของมวลมนุษย์ การผจญภัยตลอด 10 - 15 ชั่วโมงประกอบไปด้วยอะไรมากมาย มีฉากหลังหลากหลาย (ตั้งแต่พื้นที่ที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนไปจนถึงพายุลูกเห็บ) การต่อสู้บนหอคอยที่ไม่ค่อยสนุกนัก และบทที่ต้องขึ้นขี่เจ้า Reaver ไหนจะสภาพพื้นที่ที่น่าประหลาดใจ และช่วงเวลาของการเผชิญหน้าอันน่าจดจำอีก ตัวอย่างเช่น มีอยู่ฉากหนึ่งคุณจะต้องกำจัดเจ้า Brumak ขนาดมหึมาด้วยปืนยิงลูกระเบิดทรงอานุภาพชิ้นใหม่ (ปืนยิงไฟ Scorcher และระเบิดพ่นละอองพิษทั้งหลายเป็นอาวุธเจ๋งๆ ชิ้นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเช่นกัน) ในขณะที่เนื้อเรื่องจะได้รับอิทธิพลมาจากหนังแอ็กชั่น แต่ก็เพิ่มเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กับตัวละครต่างๆ ให้น่าสนใจมากพอที่จะให้คุณติดตามไปจนจบ โดยปกติแล้วแอ็กชั่นจะดูดีมีภาษีขึ้นถ้าคุณเล่น Co-op กับเพื่อน ย้ำอีกครั้งว่าผู้เล่นสามารถออกจากเกมได้ตลอดเวลา โดยจะมี A.I. ป่วยๆ มาช่วยแทน
พื้นที่ตรงนี้ไม่เหลือพอให้ผมพูดถึงมัลติเพลเยอร์ได้หมด แต่ผมบอกได้สั้นๆ ว่าผมชอบในสิ่งที่มันให้มา ตั้งแต่การเล่นสองคนต่อสองคนแบบ Wingman ที่สุดมันส์และตื่นเต้นมากๆ ไปจนถึง Horde Mode น่าเล่นที่ต้องวางแผนการเล่น Co-op ให้ดี สิ่งต่างๆ ที่คิดว่าน่าจะสร้างความบันเทิงให้ผู้เล่นได้หลังจากผ่าน Gears ภาคแรกได้มายืนเคียงบ่าเคียงไหล่ให้เล่นกันแล้วในโหมดผู้เล่นเดี่ยวแบบแคมเปญของภาคนี้
MICHAEL: การได้เล่น Gears 2 เป็นอะไรที่วิเศษสุดๆ ภาคต่อเลือดนองเกมนี้มีเนื้อหาที่สนุกเจือด้วยความรุนแรงและไม่ต้องเสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงเช่นกัน เมื่อคุณเริ่มเล่น โหมดผู้เล่นเดี่ยวตามเนื้อเรื่องเมื่อไร จะวางจอยและหยุดอ้าปากค้างไม่ได้เลยล่ะ เชื่อผมเถอะเพราะผมลุยเดี่ยวคนเดียวยาว 15 ชั่วโมง (จริงๆ นะ ไม่ได้โม้!) โดยไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิดเดียว อันที่จริงแล้วผมอยากเล่นให้มากกว่านี้เพราะการเล่น Gears 2 จนจบด้วยตัวคนเดียว (เหมือนที่ผมเล่น) มันเทียบไม่ได้กับการไล่เฉือดแขนขาพวก Locust ร่วมกับเพื่อนๆ เลย แต่ไม่ว่าคุณจะลุยเดี่ยวหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา (นอกเหนือจากโหมดบ้าๆ ทั้งหลายที่ Greg ได้พูดไปแล้ว) ทำให้เกมนี้สมกับเป็นเกมภาคต่อจริงๆ แม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ตัวบอกความคืบหน้า Achievement ที่คอยเปล่งแสงบอกหลังจากถูกขัดเกลาใหม่นับแรมปี
DAVID: ผมเห็นด้วยกับทุกคนเป็นที่สุดในเรื่องโหมดผู้เล่นเดี่ยวแบบแคมเปญของ Gears 2 ได้ทำในสิ่งที่ผมไม่เคยพบเห็นในเกมประเภทนี้มาก่อน หนึ่งในสิ่งที่ผมชอบคือฉากทางเรียบที่เหมือนถอดมาจากเกม Super Mario เลย ส่วนแอ็กชั่นจริงๆ นั้นเกิดขึ้นจากการปะทะเลื่อย สนามสำหรับมัลติเพลเยอร์ที่ไว้ไล่ตื้บผู้เล่นคนอื่นๆ (ขอสารภาพว่า ทุกครั้งที่มีการเล่นหลายคนเราจะพ่วงโดยใช้สาย LAN มากกว่าจะใช้การเชื่อมต่อจากอินเตอร์เน็ตโดยตรง) และแม้ว่าผมจะสังเกตได้ว่าบางครั้งการใช้เลื่อยก็ยังเอาชนะการสู้มือเปล่าหรืออาวุธปืนได้อยู่ แต่ต้องขอบคุณที่ “Host Advantage” จากภาคแรกได้หายไปแล้ว ไฮไลท์ของเกมนี้อยู่ที่ Horde Mode ร่วมมือกันเล่นแบบห้าคน การลุยฝูงศัตรูที่จะเข้ามาปิดล้อมพร้อมกับต้องช่วยปกป้องผองเพื่อน ทั้งตื่นเต้น เร้าใจ และต้องใช้ทีมเวิร์คที่ดีเพื่อจะเอาชีวิตรอดไปให้ได้ คงไม่มีที่ใดในโลกนี้ที่จะเป็นเหมือนใน Gears 2 แต่ผมจะหมั่นฝึกปรือไว้เผื่ออนาคตจะมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น
ผู้จัดจำหน่าย: Microsoft Game Studios ผู้พัฒนา: Epic จำนวนผู้เล่น: 1-10 คน ESRB: 17 ปีขึ้นไป
G.FORD A ยอดเยี่ยม
MICHAEL A+ ยอดเยี่ยม
DAVID A ยอดเยี่ยม
ข้อดี: โหมดแคมเปญและมัลติเพลเยอร์อลังการ
ข้อเสีย: ระบบหลบเข้าที่กำบังมีปัญหาอยู่บ้าง, ส่วนต่างๆ ของหอคอย
ดูดีมีสไตล์: หมวกคาวบอยทั้งหลายแหล่