Crysis ถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของเกมเดินหน้ายิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งสมัยใหม่ที่ไม่มีปริศนาในเกมอันไหนที่ไม่สามารถใช้กำปั้นที่เสริมพลังกระทุ้งให้กระจุยได้ และในด้านเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า Call of Duty 4 เลยแม้แต่น้อย Crysis ได้นำเอาความสามารถในการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในเกมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น และชุดนาโนสูทเองก็ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ในแง่ของการออกแบบเกม มันเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถใช้ความสามารถเหนือมนุษย์ที่ทำให้ระบบการเล่นเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ของผู้เล่น สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นผลสัมฤทธิ์ที่สุดยอดที่ขับดันโดยเหล่าเกมเมอร์ชาวพีซีทั้งหลาย และมันยังทิ้งความกระหายใคร่รู้ให้กับเหล่าผู้เล่นได้ฉงนต่อไป หลังจากนี้ทีมงาน Crytek จะนำพาเกมแอ็กชั่นไปในทิศทางไหน
คำตอบที่เห็นได้ชัดจากภาคเสริมนี้คือการถอยหลังลงคลอง น่าแปลกใจที่ Crytek มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงจุดเด่นของ Crysis ไปในทางที่แย่ลง การผสมผสานระหว่างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง กับภารกิจที่เป็นเส้นตรงในสไตล์ของ Call of Duty 4 ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือลูกผสมพันธุ์ทางที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่ Warhead ดูราวกับจะเป็นแค่ของเล่นกิ๊กก๊อกที่อาศัยชื่อเสียงของเกมดังๆ หากิน Warhead เป็นเกมแอ็กชั่นความยาวประมาณเจ็ดชั่วโมงที่เต็มไปด้วยระเบิดตูมตาม ซึ่งค่อนข้างจะน่าเบื่อ ไร้สาระ และไม่สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับภาคหลัก
ขณะที่ Nomad กำลังบุกตะลุยไปในอีกฟากหนึ่งของเกาะใน Crysis ภาคหลัก ใน Warhead คุณจะได้ตามรอยจ่าสิบเอก Michael Sykes หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า “Psycho” (ไอ้โรคจิต) ขณะที่ดำเนินภารกิจคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ใน Crysis ภาคหลัก เนื้อเรื่องในภาคนี้มีอยู่ว่า ผู้บัญชาการ Emerson ได้ตะโกนสั่งการให้คุณไล่ล่าผู้พัน Lee ที่กำลังยุ่มย่ามอยู่กับตู้สินค้า “ปริศนา” จากเรือขนส่งที่พวกเขาเชื่อว่าไม่ได้บรรทุกกิมจิมาเป็นเสบียงให้ทหารเกาหลีแน่นอน
ฉากแอ็กชั่นและการทำลายล้างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากหลังจากที่เริ่มเกมแค่เพียงไม่นาน แต่การดำเนินเรื่องกลับเป็นไปแบบเส้นตรง ราวกับจะลอกแบบมาจาก CoD4 รถบรรทุกและปั๊มน้ำมันถูกจัดวางเรียงรายไปตลอดทางเพียงเพื่อจะเอามาทำให้มันระเบิดตูมตามเอาใจคนเล่นเท่านั้น แน่นอนว่าในภาคนี้คุณยังสามารถโดดออกจากรถถังของคุณเพื่อมาไล่เชือดทหารเกาหลีด้วยตัวคุณเองได้เหมือนเดิม แม้ว่าคุณจะอยู่ระหว่างภารกิจคุ้มกันเป้าหมายแต่พวกศัตรูก็จะยังรอให้คุณไปเตร็ดเตร่ได้ เพียงแต่ว่ามันออกจะดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่เพราะตามหลักจริงๆ แล้วคุณจะต้องไปให้ถึงเป้าหมายโดยเร็วที่สุดต่างหาก และอีกอย่างภาคนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้สำรวจสักเท่าไหร่ด้วย
หนึ่งในฉากที่น่าผิดหวังที่สุดของภาคนี้คือฉากที่ Psycho จะต้องขับโฮเวอร์คราฟต์ไล่ตามคอนเทนเนอร์ปริศนาของผู้พัน Lee ผ่านทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็งซึ่งมีเรือลำใหญ่ๆ จมอยู่ใต้พื้นน้ำ และท้องคลื่นที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันเป็นภาพที่งดงามมากซะจนกระทั่งคุณอยากจะพาลูกและภรรยามาพักร้อนถ่ายรูปที่ระลึกสักภาพสองภาพ ซึ่งความจริงแล้วคุณก็สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะถ้าเมื่อใดที่คุณเลิกไล่ตามผู้พัน Lee ก็จะฉวยโอกาสพักนอนกลางวันแล้วรอจนกว่าคุณจะตามไปเจอเขาแล้วจึงหนีต่อ ภารกิจที่เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อโชว์ความอลังการของกราฟิกทำนองนี้มีอยู่เกลื่อนใน Warhead และทุกภารกิจก็จะเหมือนกันตรงที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถพิเศษของชุดนาโนสูทที่คุณใส่เพื่อผ่านฉากเลย มันทำให้ผมรู้สึกว่า Warhead เป็นเหมือนการนั่งทัวร์ซาฟารีที่ผู้เข้าชมนั่งอยู่บนรถเฉยๆ และไม่ได้มีส่วนร่วมกับการผจญภัยเลย
การเรียบเรียงเรื่องราวภายในเกมทำออกมาอย่างน่าหงุดหงิดมาก เรื่องราวในแต่ละฉากมักจะตัดจบลงอย่างห้วนๆ ในจังหวะที่ไม่ขาดก็เกิน แถมในฉากที่มีการเล่าเรื่องย้อนหลัง แทนที่จะทำออกมาได้ตื่นเต้นบีบคั้นอารมณ์ได้เท่ากับ CoD4 แต่ Warhead กลับเลือกที่จะเล่าเรื่องโดยใช้การบรรยายที่น่าเบื่อ ซึ่งพาลให้นึกถึงเกมที่สร้างโดยทีมงานชั่วโมงบินต่ำยังไงยังงั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการเพิ่มอาวุธบางอย่างเข้ามา (เช่น ปืนกลคู่และระเบิดที่สามารถหยุดการทำงานของนาโนสูทได้ชั่วคราว) ใน Warhead เองก็มีหลายอย่างที่พัฒนาขึ้นมาได้ดีกว่าภาคหลัก อาทิ AI ของศัตรูที่ไม่ใช่มนุษย์ในภาคนี้จะไม่เดินหน้ามาเข้าพลีชีพเหมือนใน Crysis อีกต่อไป พวกมันจะมีความเป็นนักฆ่ามากขึ้น รู้จักที่จะหลบซ่อนตามพุ่มไม้ ต้นไม้ และก้อนหินเพื่อใช้เป็นที่กำบังในตอนเคลื่อนตัว และรู้จักที่จะร่วมมือกันล่าแบบเป็นทีมทั้งการตีโอบ และการเบี่ยงเบนความสนใจ (โดยใช้สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณเสียงของพวกมัน) มีอยู่ครั้งหนึ่งผมรู้สึกว่าตัวเองถูกโจมตีอยู่ตลอด และก็เพิ่งมาทราบทีหลังว่าในระหว่างที่ผมกำลังสู้อยู่กับศัตรูตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า อีกตัวก็อ้อมมาด้านหลังโดยปีนขึ้นไปบนชะง่อนผาและยิงลงมาใส่ผมที่อยู่ข้างล่าง
นอกจากนี้ฉากไคลแมกซ์ของ Warhead ยังเหนือกว่าภาคต้นฉบับอย่างมาก คุณจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เร้าอารมณ์และดุเดือดมากกว่า แต่ยังคงต้องฉายเดี่ยวเช่นเคย (ซึ่งก็สมกับที่เราได้สวมบทบาทเป็น Phycho “ไอ้บ้าดีเดือด” ตัวจริงของทีม) ไม่เหมือนกับฉากสุดท้ายของ Crysis ที่สุดแสนจะจืดชืดที่เรามีหน้าที่เพียงเล็งเลเซอร์ไปให้ถูกจุดถูกเวลาเท่านั้น
สำหรับโหมดการเล่นหลายคนก็ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยการเพิ่มการเล่นแบบ Team Instant Action ที่รองรับผู้เล่นถึง 32 คนเข้ามา รวมถึงการเพิ่มแผนที่หลายแผนที่ที่บังคับให้คุณต้องอาศัยความสามารถของนาโนสูทในการเคลื่อนที่ไปตามป่าดงดิบ และแผนที่ที่อุดมไปด้วย VTOL (เครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่ง), เฮลิคอปเตอร์ และรถถังซ่อนอยู่ใต้ทางรถไฟ และคุณยังสามารถใช้แค่เกมชุดเดียวสำหรับลง Warhead แบบมัลติเพลเยอร์ให้กับพีซีได้หลายเครื่องเพื่อเล่นผ่านระบบ LAN ได้อีกด้วย
ถ้าให้พูดกันอย่างแฟร์ๆ Crytek เองก็ไม่เคยบอกเลยสักนิดว่าจะให้ Warhead เป็นภาคต่อของ Crysis ภาคต้นฉบับ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่ภาคนี้ไม่สามารถรักษามาตรฐานที่สูงปรี๊ดที่ภาคแรกเคยทำเอาไว้ได้ สำหรับภาคนี้มันเป็นเพียงโปรแกรมที่ทำออกมาเพื่อนำเสนอระบบกราฟิกใหม่ๆ โดยแทบจะไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญของระบบการเล่นเลยแม้แต่น้อย สำหรับแฟนพันธุ์แท้ FPS ผมก็ไม่ได้บอกว่าให้มองข้ามเกมนี้ไปซะทีเดียว เพราะอย่างไรโหมด Team Instant Action เองก็เป็นอะไรที่สนุกไม่น้อย เพียงแต่คุณไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจแคมเปญการเล่นเดี่ยวให้มากนักก็เท่านั้นเอง
แค่ 650$ ก็เอาอยู่จริงอ่ะ?
เชื่อแล้วว่าไม่ได้โม้
เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา Cevat Yerli ผู้เป็น CEO ของ Crytek ออกมาให้สัญญากับแฟนๆ ว่า แค่คอมพิวเตอร์ราคาไม่เกิน 600$ ก็สามารถเอา Crysis Warhead อยู่หมัดโดยมีเฟรมเรตเฉลี่ยอยู่ที่ 30-35 เมื่อปรับความละเอียดระดับ High
ผมจึงได้ทำการทดสอบ Warhead กับเครื่องที่ผมประกอบขึ้นมาเอง โดยตั้งข้อกำหนดไว้ว่าราคาของชิ้นส่วนทุกชิ้นรวมกันจะต้องไม่เกิน 650$ (นี่รวม Core 2 Duo E6700 ความเร็ว 2.66 GHz และ GeForce 9800GT แล้วนะ) ผลปรากฏว่าเมื่อตั้งระดับความละเอียดไปที่ Gamer (หรือเทียบเท่ากับ High ในภาคหลัก) เป็นที่น่าประหลาดใจว่าเกมสามารถทำเฟรมเรตเฉลี่ยได้อยู่ที่ 32 FPS ยกเว้นในฉากที่ขับโฮเวอร์คราฟต์จะตกลงมาเหลือ 26 FPS ซึ่งก็ยังน่าประทับใจอยู่เมื่อคิดว่าในอดีตเอนจิ้นนี้เป็นที่รู้กันดีในวงการว่า “แม้แต่เครื่องเทพก็เอาไม่อยู่”