Warhammer Online แม้ว่าจะเน้นไปที่ระบบการต่อสู้แบบ ดินแดน vs ดินแดน (หรือฝ่าย Order vs Destruction) ซึ่งประกอบไปด้วยการเข้าจู่โจมฐานที่มั่นของฝ่ายตรงข้ามขนานใหญ่และสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่ แต่ถึงกระนั้นมันก็อาจจะเป็นการยากที่จะจินตนาการถึงเกม MMO ที่ไร้ซึ่งการตะลุยดันเจี้ยน โชคดีที่ทาง EA Mythic ได้วางแผนสำหรับ WAR ในครั้งนี้เอาไว้อย่างดี ในขณะที่คุณได้สัมผัสกับองค์ประกอบของเกม MMO แบบที่ผ่านมา คุณก็จะยังได้สัมผัสกับการตะลุยดันเจี้ยนที่ทางทีมงานได้วางแผนเอาไว้อย่างดีอีกด้วย เราได้ลองเล่นผ่านดันเจี้ยนที่แตกต่างกันสามแห่งไปพร้อมกับทางทีม EA Mythic และได้ลองสัมผัสความคิดใหม่ๆ เหล่านี้ไปด้วย
เริ่มต้นฤดูกาลล่า
พวกเราต่างยืนรอคอยอยู่ที่บริเวณ Lobby ของทางเข้าสู่ Mount Gunbad ดันเจี้ยนแห่งแรกซึ่งเป็นสถานที่สำหรับตัวละครฝ่าย Destruction ที่มีเลเวลอยู่ที่ 23-30, Gabe Amantangelo ผู้ออกแบบเกมรับบทเป็น Skullsmasha นักรบเผ่า Black Orc ตัวใหญ่สำหรับเข้าปะทะ ในขณะที่ผมสวมบทเป็น Oneye หน่วยสนับสนุนเผ่า Goblin (Squig Herder) ตัวจิ๋วซึ่งมีขนาดไม่ถึงครึ่งของ Skullsmasha
จุดมุ่งหมายสำคัญของ EA Mythic สำหรับดันเจี้ยนก็คือการลดข้อจำกัดในการเข้าเล่นเพื่อส่งเสริมให้ผู้เล่นเข้าสู่ดันเจี้ยนมากขึ้น ทางหนึ่งก็คือลดระยะเวลาในการเล่นต่อครั้งในแต่ละดันเจี้ยน ขณะที่ในดันเจี้ยนนั้นยังเต็มไปด้วยประสบการณ์สดใหม่มากมาย มันยังถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ สามส่วน และในแต่ละส่วนของแต่ละดันเจี้ยนโดยปกติแล้วเฉลี่ยจะใช้เวลาในการเล่นประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ข้อดีก็คือคุณไม่จำเป็นจะต้องตะลุยทุกส่วนของดันเจี้ยนในการเล่นครั้งเดียว แต่คุณสามารถเลือกที่จะลุยแต่ละส่วนในการเล่นครั้งต่อๆ ไปได้
ขณะที่โลกของเกมจะเต็มไปด้วยดันเจี้ยนแบบ Instance (ดันเจี้ยนเฉพาะสำหรับผู้เล่นกลุ่มเดียว) มากมาย (ซึ่งจะกล่าวเพิ่มต่อไป) แต่ Mount Gunbad แท้ที่จริงแล้วเป็นดันเจี้ยนแบบ Open World ซึ่งหมายความว่า ผู้เล่นทุกคนในฝ่าย Destruction สามารถเข้าสู่ดันเจี้ยนจากที่ใดก็ได้เพื่อเข้าร่วมตะลุยไปกับผู้เล่นอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากได้
"ข้อดีของระบบดันเจี้ยนแบบ Open World ก็คือคุณสามารถพบปะกับผู้เล่นอื่นๆ ได้" Destin Bakes, Expansion Producer (โปรดิวเซอร์ผู้ดูแลภาคเสริม) ของเกมกล่าว "มันให้ความรู้สึกมีชีวิตมากกว่า ในเกม Dark Age of Camelot ดันเจี้ยนทุกๆ แห่งเป็นแบบ Open World และมันกลายเป็นสถานที่ให้ผู้เล่นได้พบปะ หาเพื่อนและตั้งกิลด์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ"
ตำนานแห่งดันเจี้ยน
Mount Gunbad ตั้งอยู่ที่บริเวณ Marshes of Madness ดินแดนที่ก่อนเคยเป็นอาณาจักรของฝ่ายหมอผี Morcane แต่ปัจจุบันนั้นถูกรุกรานโดยพวก Goblin แฟนๆ ตัวยงของซีรีส์ Warhammer จะสัมผัสได้ถึงแรงบัลดาลใจที่เนื้อเรื่องของดันเจี้ยนได้รับจากตำนาน Warhammer รวมไปถึงองค์ประกอบต่างๆ ด้วยเช่นกัน สำหรับ Mount Gunbad บรรยากาศภายในนั้นเป็นถ้ำที่มืดมิด ซึ่งเหมาะสำหรับเป็นสถานที่เริ่มต้นสำหรับพวกเราพอดี
ในแต่ละส่วนของดันเจี้ยนจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป นั่นหมายความว่าคุณจะได้พบกับศัตรูที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่อีกด้วย ภายในส่วนแรกนั้นพวกเราต้องปะทะกับ Night Goblin และ Giant Spider แต่คุณ Amatangelo บอกกับเราว่าพวกเราจะได้พบกับ Troll และพวก Undead ในบริเวณต่อๆ ไป
ในโลกแห่งความเป็นจริงเราเพียงสองคนนั้นคงไม่สามารถผ่านดันเจี้ยนแห่งนี้ไปได้โดยลำพัง (ต้องขอขอบคุณสูตรอมตะ) แต่พวกเราก็ไม่ใช่จะไร้คุณสมบัติซะทีเดียว เพราะว่า EA Mythic ได้ออกแบบดันเจี้ยนซึ่งต้องการจำนวนผู้เล่นมากที่สุดในการลุยผ่านดันเจี้ยนคือ 6 คน Bales อธิบาย "เราต้องการลดข้อจำกัดต่างๆ ในการเข้าสู่ดันเจี้ยนลง เพื่อให้ผู้เล่นสามารถสนุกสนานกับองค์ประกอบที่พวกเราจัดไว้ให้ได้มากขึ้น ตัวผมเองมีครอบครัวและอีกหลายๆ คนที่ EA Mythic ก็มีครอบครัวเช่นเดียวกับผม ทำให้พวกเราต่างทราบดีว่าการแบ่งเวลาเป็นเรื่องยากแค่ไหน แม้ว่าการลุยดันเจี้ยนนั้นจะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ขั้นตอนในการรวบรวมผู้เล่นกว่า 40 คนเข้าด้วยกันนั้นอาจจะกินเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งเราไม่ต้องการให้เกมของเราเป็นเช่นนั้น"
หลังจากที่ได้พบปะกับเหล่าสัตว์ประหลาดใน Mount Gunbad รวมไปถึงฝูง Undead คืนชีพและ Mixas ซึ่งมีตาแดงก่ำแล้วเราก็มาถึงส่วนสุดท้ายในที่สุด ในแต่ละส่วนของดันเจี้ยนนั้นจะมีบอสเฝ้าอยู่ที่สุดทาง ที่ด่านสุดท้ายของดันเจี้ยนคุณจะพบกับห้องซึ่งเป็นที่อยู่ของบอสใหญ่ขนาดหกคนปราบ สำหรับ Mount Gunbad คุณจะพบกับตัว Squig ขนาดยักษ์ (สัตว์ประหลาดตัวกลมเหมือนลูกบอลและมีปากขนาดใหญ่สองปากซึ่งเต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม) ซึ่งมันได้รับพลังจากของศักดิ์สิทธิของไอเทมชื่อ Morcane ที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้มีพลังมากขึ้น Artifact ของ Morcane ยังเป็นอีกปัจจัยซึ่งท้าทายคุณในการต่อสู้กับหัวหน้าอีกด้วย หากคุณปล่อยให้เจ้า Squig อยู่ใกล้กับ Artifact มากเกินไป มันจะได้รับพลังและสามารถพ่นของเหลวหรือสารเหลวภายในตัวออกมาได้ แต่หากล่อมันออกห่างเกินไปมันจะคลุ้มคลั่งและทำให้มันจู่โจมได้รุนแรงยิ่งขึ้น นั่นจึงทำให้ผู้เล่นต้องระมัดระวังและรักษาสมดุลในการที่จะกำจัดมันลงได้
พายุโหมกระหน่ำ
หลังจากผ่าน Mount Gunbad, Oneye และ Skullsmasha ได้มุ่งหน้าสู่ Bastion Stair ดันเจี้ยนแบบ Open-World สำหรับผู้เล่นเลเวล 33 ถึง 40 ตำนานของ Warhammer นั้นทั้งลึกล้ำและเต็มไปด้วยรายละเอียด... ลึกถึงขนาดที่ว่าหากจะเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของ Bastion Stair ได้หมดนั้นอาจจะต้องใช้พื้นที่มากกว่าคอลัมน์นี้เสียอีก ส่วนเวอร์ชั่นแบบสั้นๆ ก็คือ: ได้เกิดรอบแยกขึ้นในผืนจักรวาล, ต้องขอบคุณ Khorne ผู้ซึ่งเป็นแทพเจ้าแห่งการฆ่าและการต่อสู้ นอกจากเราจะได้ปะทะกับเหล่าผู้นับถือ Khorne แล้ว เรายังจะได้ต่อสู้กับทหารของฝ่าย Empire of Order ซึ่งเข้ามาที่แห่งนี้เพื่อค้นหา Artifact แต่ถูกอำนาจมืดครอบงำในท้ายที่สุด
Bastion Stair ประกอบไปด้วยโถงโบราณสีเลือดขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าลูกสมุนของเทพเจ้า Khorne ในบริเวณแรกเราได้ปะทะกับ Ungor (ปิศาจที่มีเขาเล็กๆ สองอัน) Gor (ปิศาจที่ตัวใหญ่กว่าและมีเขายาวกว่า) และ Tuskgors (สัตว์เลี้ยงของพวกมันที่ดูเหมือนหมูป่าแต่มีเขี้ยวโผล่ขึ้นตามใบหน้าอีกนับโหล)
อีกหนึ่งเป้าหมายของผู้พัฒนาก็คือความเข้มข้นของแทคติคในการเล่นแบบ ผู้เล่น vs สภาพแวดล้อม (PvE) ที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกขณะที่ลุยผ่านดันเจี้ยนไปเรื่อยๆ ในช่วงแรกนั้นคุณจะมีโอกาสได้เรียนรู้และฝึกซ้อมเทคนิคในการสู้รบต่างๆ แต่เมื่อคุณไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของส่วนที่สามของดันเจี้ยน คุณจะต้องใช้แทคติคการต่อสู่เหล่านี้ได้อย่างชำนาญเพื่อที่จะพิชิตดันเจี้ยนลงได้ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะหากคุณเกิดตายในช่วงที่ฝึกฝนละก็ ตัวละครของคุณจะเกิดขึ้นได้ใหม่ในดันเจี้ยนโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไกลจากหลุมศพเพื่อเข้าร่วมปาร์ตี้อีกครั้ง
พวกเราบุกตะลุยผ่านห้องโถงหลายห้อง, ต่อสู้กับศัตรูและมินิบอสไปหลายตัว จนท้ายที่สุดเราก็เผชิญหน้ากับบอสใหญ่สีแดงตัวยักษ์ เปลือยเปล่า มีเขาและกีบหน้านาม Bloodthirster ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ในตำนานของ Warhammer ปิศาจ Bloodthirster นั้นมีพลังมากเกินกว่าที่ทหารตัวน้อยๆ อย่างพวกเราจะสังหารมันลงได้ ดังนั้นแทนที่มันจะตาย เมื่อเราเอาชนะมันได้ มันจะถูกดูดกลับสู่รอยแยกหลงเหลือไว้เพียงขวานอันโตของมันไว้เพียงเท่านั้น
ในโลกแบบ INSTANCE
ดันเจี้ยนสุดท้ายที่เราได้ไปเยี่ยมเยือนนั้นแท้ที่จริงแล้วมันคือ Instanced Dungeon สุดท้ายของเกม นาม Lost Vale เช่นเดียวกันกับดันเจี้ยนแบบ Open-world จำนวนผู้เล่นสูงสุดที่สามารถเข้าร่วมลุยดันเจี้ยนแบบ Instance ได้คือหกคน เป็นอีกครั้งที่คำนึงถึงความง่ายในการเข้าเล่น Lost Vale พื้นที่ภายนอกอันเขียวชอุ่มอันเป็นที่พำนักของ Everqueen ผู้นำของเหล่า High Elves แต่ถึงกระนั้นพวก Dark Elves ก็หาทางแทรกซึมเข้ามาและจับตัว Everqueen เอาไว้ได้ เนื่องจากสถานที่นี้คือพื้นที่ PvE แบบ Instance ระดับสูงที่สุดของเกม Lost Vale จึงมีขนาดใหญ่โตกว่าดันเจี้ยนทั่วไป ในแต่ละพื้นที่นั้นจะต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเพื่อพิชิต แต่ละเลเวลนอกจากจะมีบอสในแต่ละพื้นที่ และบอสใหญ่แล้วยังจะมีบอสรองเพิ่มขึ้นมาอีกสามตัวด้วย
เช่นเดียวกับดันเจี้ยนแบบ Open-World คุณสามารถแบ่งการเล่น Instanced Dungeon ในแต่ละครั้งได้ ความจริงก็คืออันเนื่องมาจากแต่ละพื้นที่นั้นแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ อีกหลายส่วนและแต่ละส่วนก็บอสของแต่ละส่วน คุณจึงสามารถเลือกเล่นแค่ครั้งละส่วนของแต่ละพื้นที่ได้ นอกจากนั้นก็ยังสามารถเปลี่ยนสมาชิกในปาร์ตี้ในการลุยในส่วนต่อไปได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าสมาชิกสามคนของคนไม่สามารถร่วมเล่นได้ในครั้งต่อไป คุณก็สามารถหาผู้เล่นอื่นที่ผ่านส่วนแรกไปแล้วเช่นเดียวกับคุณมาเข้าร่วมแทนได้
ทางทีมงานถือว่า Lost Vale เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่น่าภูมิใจที่สุด คุณ Bales กล่าว "เราใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสร้างดันเจี้ยนให้กับ Lost Vale มากที่สุด โดยปกติแล้วในเกม MMO อื่นๆ ทางทีมงานจะใช้เวลาส่วนมากเพื่อให้แน่ใจว่าช่วงเริ่มต้นของเกมนั้นยอดเยี่ยมแต่ส่วนที่เหลือของเกมกลับไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่เราจะไม่ทำเช่นนั้นใน Warhammer ตั้งแต่เริ่มต้นจนฉากสุดท้ายนั้น พวกเราทุ่มทั้งเวลาและทรัพยากรทุกอย่างเพื่อแน่ใจว่าเกมของเราจะสร้างความประทับใจได้ตลอดทั้งเกม"
หากคุณใช้เวลาสำรวจ คุณจะได้พบสิ่งเล็กๆ หลายอย่างกระจัดกระจายอยู่ทั่วดันเจี้ยน อย่างเช่น บอสเฝ้าพื้นที่ตัวหนึ่งที่คุณจะได้พบคือ White Fire Queen นางพญาแมงมุมยักษ์ที่สามารถใช้ใยเป็นกับดัก แต่ก่อนหน้าที่คุณจะได้เผชิญหน้ากับหล่อน คุณจะได้พบกับแท่งหินประหลาดซึ่งสามารถนำไปแลกกับคบไฟเพื่อนำไปเผาใยของนางพญาและกำจัดมันได้เร็วยิ่งขึ้น
เวลาของพวกเราสำหรับเกม Warhammer จบลงที่การต่อสู้กับบอส Keeper of Secrets ทาสผู้ซื่อสัตย์ชาว Amazon ที่ใช้ทั้งเวทมนตร์แห่งความเจ็บปวดและเวทย์ยั่วอารมณ์ (ซึ่งทำให้ตัวละครของคุณช้าลง) หล่อนยังสามารถปล่อยธาตุที่รู้จักกันในนาม "ความปรารถนา" (Desire) ออกมาซึ่งช่วยเพิ่มค่าความสามารถและช่วยให้คุณจัดการหล่อนได้ง่ายขึ้น แต่หากรับพลังของเธอมามากเกินไปอาจส่งผลกระทบที่ไม่สวยหรูนักกับตัวคุณ
แม้ว่าเวลาของทั้ง Oneye และ Skullsmasha ได้หมดลงเมื่อเรารวมพลังกันกำจัด Keeper of Secrets ได้ แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือความปรารถนาที่จะได้ลุยดันเจี้ยนที่มากยิ่งขึ้น
ศัตรูสาธารณะชน
จุดเด่นที่สำคัญของเกม WAR นี้ก็คือ ภารกิจสาธารณะซึ่งมีมากกว่า 300 ภารกิจตลอดทั้งเกม และคุณจะได้พบผ่านภารกิจต่างๆ ได้จากทั้งในเมืองหลวงและในดันเจี้ยนแบบ Open-World ภารกิจสาธารณะเป็นภารกิจที่ขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้นๆ ซึ่งใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีสามารถเข้าร่วมภารกิจเดียวกันได้ เมื่อคุณเข้าสู่พื้นที่ของภารกิจสาธารณะ จะมีหน้าต่างข้อมูลโผล่ขึ้นบนหน้าจอเพื่อให้คุณได้ทราบ และถึงแม้ว่าคุณจะไม่จำเป็นต้องทำภารกิจสาธารณะนี้ทั้งหมดในการผ่านดันเจี้ยน แต่มันก็เป็นการดีที่จะช่วยเพิ่มค่าประสบการณ์และเก็บของดีๆ มาใช้
ภารกิจสาธารณะแต่ละอันนั้นจะมีช่วงของภารกิจที่หลากหลาย ซึ่งปกติจะมีไม่ต่ำกว่าสามช่วงในแต่ละภารกิจและบางครั้งอาจจะมากถึง เจ็ดหรือแปดช่วงเลยทีเดียว และในขณะที่ช่วงของภารกิจดำเนินไป จำนวนผู้เล่นที่ต้องการในการทำภารกิจให้ลุล่วงก็จะเพิ่มตามไปด้วย ในแต่ละช่วงนั้นผู้ร่วมภารกิจทุกคนจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ ยกตัวอย่าง คุณจะได้รับภารกิจให้ฆ่าศัตรูตามจำนวนที่กำหนด ดังนั้นจำนวนผลรวมก็จะมาจากศัตรูที่แต่ละผู้เล่นที่เข้าร่วมภารกิจฆ่าไปแต่ละคน คุณสามารถเข้าร่วมภารกิจในช่วงใดของภารกิจก็ได้ และแต่ละภารกิจก็เกิดขึ้นซ้ำๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อคุณต่อสู้คุณจะได้รับทั้งค่าประสบการณ์และค่า Influence (ซึ่งจำเป็นในการเข้าต่อสู้กับบอสใหญ่ในแต่ละดันเจี้ยน) จากการฆ่าศัตรูในแต่ละครั้งของคุณเอง และผู้ร่วมภารกิจทุกคนจะได้รับค่าประสบการณ์และค่า Influence เป็นรางวัลเมื่อจบภารกิจในแต่ละช่วง หลังจากทำภารกิจสาธารณะสำเร็จลุล่วงก็ถึงเวลาของของรางวัล ผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมภารกิจจะมีสิทธิ์ได้รับถุงรางวัลซึ่งมีจำนวนจำกัด ยกตัวอย่างเช่น อาจจะมีผู้เล่น 10 คน แต่มีของรางวัลให้แค่สามหรือสี่ถุงเป็นต้น ผู้เล่นที่มีบทบาทมากกว่าในการทำภารกิจสาธารณะจะได้รับค่าโบนัสซึ่งคำนวณจากการกระทำของแต่ละคนและผู้ชนะจะมีโอกาสได้เลือกของชิ้นหนึ่งจากถุงรางวัล ด้วยระบบของรางวัลที่ชาญฉลาดนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่าคุณจะได้รับของที่คุณสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง
เกราะสุดแจ่ม
หนึ่งในสิ่งที่เยี่ยมที่สุดในการพิชิตดันเจี้ยนก็คือคุณจะได้รับเซ็ตชุดเกราะซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงความกล้าหาญของคุณ ขณะที่การลุยดันเจี้ยนไม่ใช่ทางเดียวที่จะได้มาซึ่งเซ็ตชุดเกราะในเกมนี้ เพราะคุณยังสามารถหามันได้จากการเข้าร่วมการต่อสู้แบบ ดินแดน vs ดินแดน, ลุยเข้าสู่ดินแดนฝ่ายศัตรูแล้วจับตัวราชาของพวกมัน หรือทำภารกิจสาธารณะ แต่เมื่อเกมเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการณ์ แต่ละดันเจี้ยนจะมีเซ็ตชุดเกราะพิเศษสำหรับแต่ละดันเจี้ยน ดังนั้น จงเตรียมตัวให้พร้อมนักสะสมทั้งหลาย
ข่าวด่วน!
สายอาชีพ 4 สายของเกมจากเดิมที่วางแผนไว้ 24 สาย (และสี่จากหกเมืองที่วางแผนเอาไว้) ได้ถูกถอดออกจากเกม ประกอบไปด้วย The Choppa (Greenskin), the Hammerer (Dwarf), the Blackguard (Dark Elf) และ Knight of the Blazing Sun (Empire) ที่ถูกถอดออกไป เราได้สอบถามความเห็นไปและ Jeff Hickman, Executive Producer ได้ให้คำตอบว่า "เรามีความคิดที่จะขัดเกลาคลาสทั้ง 20 [ที่จะมีในเกม] ให้ลงตัวและยอดเยี่ยมที่สุดมากกว่า" ขัดเกลาให้ลงตัวและยอดเยี่ยมขณะที่ต้องรีบและเวลาวางจำหน่ายที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ? ฟังดูแล้วก็มีเหตุผลดี