Dekaron : สูตรอัพสกิลปั๊มเลเวลไว

แชร์เรื่องนี้:
Dekaron : สูตรอัพสกิลปั๊มเลเวลไว

     ทุกครั้งที่เริ่มเกม MMORPG เกมใหม่ สกิลและ Status เป็นสิ่งที่ชวนให้ปวดหัวที่สุด ซึ่งถ้าคุณมีคู่มืออยู่กับตัว หรือมีเพื่อนเป็นไกด์ให้ การเลือกอัพสกิลก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่ถ้าไม่มีล่ะ? เชื่อว่าส่วนใหญ่จะเกิดความรู้สึกอยากเก็บคะแนนสกิลไว้อัพสกิลในช่วงหลัง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อที่จะไม่ต้องพบกับความเสี่ยงที่จะได้สร้างตัวใหม่จากการอัพสกิลผิด แต่สำหรับ Dekaron มีระบบป้องกันความผิดพลาดส่วนนี้แล้ว แล้วยังใช้ประโยชน์จากระบบนี้ เพื่อให้การเล่นช่วงแรกราบรื่นยิ่งขึ้น

ระดับสกิลที่แตกต่าง
      สกิลใหม่ๆ ย่อมแรงกว่าสกิลเก่าอยู่แล้ว เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในทุกเกมที่มีระบบ Skill Tree แต่การรอสกิลใหม่จะต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน จนรู้สึกเสียดายคะแนนสกิลที่เก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์จนกว่าจะเลเวล 80 - 90 ขึ้นไป

     ความแรงสกิลเกือบทั้งหมดในเกมไม่ได้ขึ้นกับค่าพลังโจมตีเหมือนในหลายๆ เกม เช่น ไม่มีสกิลประเภทโจมตีแรงขึ้นจาก Attack 500% เป็นต้น ทุกสกิลจะมีความแรงพื้นฐานเป็นของตัวเอง แล้วค่อยไปเพิ่มค่า Attack จากอาวุธ และพลังโจมตีของผู้เล่น

**Tip**
ค่า Damage จากสกิล = ความแรงพื้นฐาน + พลังโจมตีรวมของผู้เล่น


     ค่าความแรงพื้นฐานของสกิลโจมตีก็ส่งต่อการเล่นมาก สกิลช่วงแรก บางสกิลเลเวล 1 แรงขึ้นแค่ไม่กี่ร้อย พอเลเวล 10 แรงขึ้น 2 – 3 พันก็มี จะรอสกิลใหม่ก็ทำได้เช่นกัน แต่กว่าจะได้สกิลใหม่นั้นก็นานพอตัว บางอาชีพต้องรอเกิน 10 เลเวลกว่าจะได้สกิลโจมตีดีๆ สักสกิล


Jumping Crash ระดับต่างกัน 3 เลเวล สร้างความเสียหายต่างกันชัดเจน

     ตัวอย่าง Incar Magician ตอนเลเวล 27 สายไฟและน้ำแข็ง มีสกิล Fire Blaze อยู่ ถ้ารอสกิลใหม่ก็จะใช้ความแรงได้ค่อนข้างต่ำ

Fire Blaze สกิลเลเวล 1 : 413 + 327 + 276 = 1,016
Fire Blaze สกิลเลเวล 7 :789 + 640 + 550 = 1,979

     สกิลเลเวล 7 อัพได้ตอนเลเวล 47 ความแรงเทียบเท่า Flame Burning สกิลตอนเลเวล 51 ถ้าใช้ยิงศัตรูเป้าหมายเดียวมีประสิทธิภาพกว่าใช้สกิล Fire Blaze เลเวล 1 แน่นอน

 รีเซ็ตสกิล ระบบดีที่ไม่ควรมองข้าม
     ระบบของ Dekaron จะอนุญาตให้เรารีเซ็ตสกิลได้ 1 ครั้ง โดยใช้เงินในเกม ค่าใช้จ่ายก็ขึ้นกับจำนวน Skill ที่ถูกรีเซ็ต ทำให้ยิ่งเลเวลสูงก็ยิ่งใช้เงินเยอะขึ้น แต่ก็ไม่แพงจนเกินไปนัก ต่างจากระบบการรีเซ็ต Status ซึ่งต้องซื้อ Item Shop เท่านั้น

     พอได้ยินชื่อระบบนี้ บางคนคิดว่าระบบนี้มีเพื่อคนกดสกิลผิดเท่านั้น เลยไม่สนใจคิดจะใช้งานระบบรีเซ็ตสกิล แต่ถ้าประยุกต์ใช้งานให้ดี ก็จะเป็นระบบที่มีประโยชน์มากสำหรับการเก็บเลเวล เพราะสามารถเลือกอัพแต่สกิลที่มีพลังโจมตีสูงในช่วงแรกหรือกลางเกม แล้วค่อยรีเซ็ตในภายหลัง


Azure Knight
      สามารถเล่นได้หลายสาย แต่ไม่แนะนำให้เล่นสายโล่สำหรับการเน้นเก็บเลเวล เพราะเก็บเลเวลช้ากว่าสายอื่น ให้เลือกเล่นอาวุธใหญ่ (Great Weapon) หรือถือสองข้าง (Dual Weapon) ดีกว่า ในที่นี้แนะนำขวานใหญ่ครับ (หรือขวานถือสองทั้งมือ ก็ดีเหมือนกัน)

     ไม่ว่าจะเลือกอาวุธอะไร แนวทางการเลือกสกิลโจมตีจะไม่ต่างกันมาก ซึ่งสกิลโจมตีจะมาในแต่ละช่วงเลเวลดังนี้

Master : 7, 27, 51, 80 (สาย Dual จะเป็น 20, 29, 51, 80)
Passive : 15, 36, 64, 94
Support : 29, 51, 91

     สกิลตอนเลเวล 51 ขึ้นไปล้วนแต่เป็นสกิลที่จำเป็นทั้งนั้น แต่กว่าจะถึงช่วงนั้นต้องใช้เวลานาน และกว่าสกิลโจมตีจะพร้อมต้องรอจน 60 – 70 ขึ้นไป ดังนั้นแนะนำให้อัพสกิลตอนเลเวล 15 – 39 ให้เลเวลสูงด้วย สกิล Whirlwind อัพจนเลเวล 6 ก็พอเพื่อให้จำนวนครั้งการโจมตีมากที่สุด

     สกิลบัฟและ Passive ส่วนใหญ่ก็อัพเต็มจนเต็มยกเว้นบางสกิล เช่น Sword Defense, Wind Rush และ Insensibility ที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นช่วงแรก แนะนำให้รออัพตอนเลเวลสูงดีกว่า

ตัวอย่างสายขวานใหญ่ เน้นเก็บเลเวล

( คลิ๊กที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ )

Bagi Warrior
      เป็นอาชีพที่มี Passive Skill และ Buff Skill ดีๆ เยอะ ทำให้การอัพสกิลต้องเลือกคำนึงให้ดีก่อนที่จะอัพ ไม่งั้นอาจไม่มี Point สำหรับลงสกิลโจมตีในบางจังหวะ สกิลโจมตีจะมาตามเลเวลดังนี้

Martial Art : 7, 15, 37, 50, 60, 67, 82, 92
Spirit : 26, 56, 63, 74, 82, 96

     ตามปกติจะรอไปอัพสกิลโจมตีแรงๆ ในช่วงหลังเลย ยกเว้น Shock Wave ที่มีผลของการ Stun แต่ถ้าต้องการเน้นเก็บเลเวลเร็ว ควรอัพสกิลช่วงแรกให้มีระดับสูงๆ เช่น Chain Burst (26) และ Triple Ravage (37) จนเต็มด้วย ซึ่งจะช่วยให้การเก็บเลเวลช่วงกลางเกมทำได้ง่ายยิ่งขึ้น พอเริ่มไม่ใช้สกิลเก่าๆ ก็ให้ Reset Skill

     สกิลบัฟและ Passive ส่วนใหญ่จะอัพจนเต็ม ยกเว้นสกิลวิ่งเร็วอาจจะอัพแค่เลเวลเดียวก่อน ส่วนสกิลเปลี่ยนธาตุหมัดตอนเลเวล 55 แนะนำให้เลือกธาตุน้ำแข็งเพียงธาตุเดียว เพราะมอนสเตอร์ตั้งแต่แผนที่ 65 ส่วนใหญ่จะทนต่อธาตุไฟ และบางตัวทนธาตุสายฟ้า

( คลิ๊กที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ )

Incar Magician
      การเน้นเก็บเลเวลแนะนำให้เลือกแค่ 2 สายก็พอ เพื่อให้อัพ Mastery ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สายที่แนะนำคือ สายไฟ และน้ำแข็ง ซึ่งเป็นคู่ที่มีทั้งสกิลโจมตีแรง และสกิลช่วยชะลอความสามารถของศัตรูทำให้เก็บเลเวลราบรื่นขึ้น สกิลโจมตีใหม่ๆ จะมาตามเลเวลดังนี้

Fire, Ice, Lightining : 7, 16, 27, 36, 51, 81, 92

     สกิลจากสาย Passive ไม่แนะนำให้เพิ่มระดับสกิล เพราะไม่มี Mastery เพิ่มความรุนแรงของสกิล เน้นสกิลโจมตีแรงๆ ดีกว่า

     สายปั๊มเลเวล แนะนำให้อัพสกิลสายไฟ ตั้งแต่เลเวล 16 ขึ้นไปจนเต็ม ส่วนสายน้ำแข็งอัพไว้สัก 1 ก็พอเพราะความแรงของธาตุน้ำแข็งยังเบากว่าสายไฟมาก เก็บคะแนนสกิลไปลงสายไฟดีกว่า (ยกเว้นสกิลโจมตีหมู่ตอนเลเวล 36 ให้อัพจนเต็มเพื่อเก็บเลเวลได้ไวขึ้น) จนกว่าจะถึง 51 ค่อยอัพระดับสกิลยาวๆ เมื่อสกิล Point เริ่มไม่พอก็ให้รีเซ็ตสกิลในช่วงเลเวล 81 – 92 เพื่ออัพสกิลใหม่

ตัวอย่างสายไฟและน้ำแข็ง

( คลิ๊กที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ )

Segita Hunter
     มีให้เลือกสายธนูหรือสาย Cross Bow ตรงนี้ก็ขึ้นกับว่าเก็บเลเวลแบบไหน ถ้าเล่นแบบลากยิงกลุ่มก็สาย Bow ถ้ายิงเก็บเลเวลทีละตัวเป็นหลักก็ Cross Bow เป็นหลัก ในที่นี้ขอแนะนำเป็นสายธนู เนื่องจากใช้ Triangle Bow สำหรับลากมายิงได้ และมีประโยชน์ในปาร์ตี้

     ส่วนสายมีดก็น่าสนใจแต่ยังเก็บเลเวลค่อนข้างยากเมื่อเทียบกับสายยิงไกล และแนวทางเก็บเลเวลก็ไม่ยาก อัพจนเต็มทุกสกิลได้อย่างสบายใจ

     สกิลโจมตีของ Bow และ Cross Bow จะมาตามเลเวลเหมือนกัน ได้แก่ 1, 7, 16, 19, 26, 27, 33, 36, 40, 54, 55, 74, 82, 90 ถ้าเน้นเก็บเลเวลแนะนำให้อัพสกิลช่วงเลเวล 26 – 40 ให้สูงสักหน่อย

     ส่วนสกิลบัฟ ถ้าต้องการใช้งานสกิลครบก็แนะนำให้อัพทั้งหมดจนเต็ม ซึ่งทำให้เก็บเลเวลปกติได้ราบรื่นขึ้น แต่ถ้ายังไม่ค่อยใช้งานบางสกิลอาจจะยังไม่ต้องอัพสกิลก็ได้เช่นกัน

ตัวอย่างสาย Bow

( คลิ๊กที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ )


Segnale
     สายเก็บเลเวลแน่นอนว่าต้องเป็นสาย Heal ผสม Blood โดยมีสกิล Heal และสนันสนุนตามปกติ ที่เหลือก็ไปอัพสกิลสาย Blood ซึ่งเป็นสายที่เกี่ยวข้องกับสกิลโจมตีทั้งหมด

     แต่เนื่องจากต้องอัพสกิลสนับสนุน แล้วยังต้องอัพสกิล Curse Mastery เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสกิลโจมตีสาย Blood และป้องกันธาตุ Curse ทำให้จำนวนคะแนนสำหรับอัพสกิลมีจำกัด จนคล้ายกับสายเล่นจริงของ Segnale ถ้าต้องการให้สกิลโจมตีมีประสิทธิภาพอีกนิด แนะนำให้อัพสกิล Vampire (30) หรือ Dread Nail (35) เพื่อให้ผ่านดันเจี้ยนเลเวล 34 และเก็บเลเวลช่วง 50 ขึ้นไปได้ง่ายขึ้น

     สกิลบัฟแบบกลุ่ม ไม่แนะนำให้อัพ เพราะบางสกิลอัพระดับได้แค่ 5 ขั้นเท่านั้น ไม่สามารถอัพจนเต็มขั้น 10 ได้เหมือนสกิลเล็งเป้าหมายเดียว ส่วนสกิล Heal สำหรับสายเก็บเลเวลอัพแค่สกิล Heal เป้าหมายเดียวก็พอ ส่วนที่เหลือไว้เพิ่มระดับสกิลหลังรีเซ็ตสกิล แต่ถ้าต้องไปกับปาร์ตี้แนะนำให้อัพจนเต็ม

     ตอนเลเวล 59 Segnale จะมีสกิลโจมตีค่อนข้างดีอยู่แล้ว เมื่อรวมกับ Blood Hits ที่สามารถโจมตีได้ต่อเนื่องมากๆ ทำให้การต่อสู้มีประสิทธิภาพมากไม่แพ้อาชีพอื่นๆ ถ้าคะแนนสกิลไม่ค่อยพอ ก็อาจจะรีเซ็ตสกิลในช่วงนั้น เพื่อเน้นอัพแต่สกิลที่จำเป็นก็ได้

ตัวอย่างสาย Blood + Heal

( คลิ๊กที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ )

Vicious Summoner
      สายการเล่นของ Vicious Summoner ค่อนข้างจะอิสระพอสมควร จะเล่นสาย Beast หรือสาย Libido ก็ได้ แนะนำสาย Libido จะค่อนข้างดีตอนช่วงเลเวล เพราะตอนเลเวล 58 จะมีซัมม่อนที่ใช้ Stun ได้ แบบ Tentator ที่ใช้เก็บเลเวลได้ค่อนข้างง่าย แล้วยังมีความทนทานค่อนข้างสูง ส่วนอาวุธก็ตามที่เลือกว่าจะเป็น Twin Sword หรือ Staff ก็ได้ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเป็นสาย Twin Blade และ Libido

     ถ้าอยากเก็บเลเวลไว ก็แนะนำให้อัพสกิลของ Summon ตัวแรกและตัวสองสักหน่อย ส่วนตั้งแต่ตัวที่ 3 ขึ้นไปก็ให้อัพจนเต็ม ด้านสกิลสายต่อสู้ก็แนะนำให้อัพให้เต็ม ซึ่งส่วนใหญ่จะอัพเกือบทั้งหมดเพราะเป็นอาชีพที่มีสกิลโจมตีค่อนข้างน้อย

      แม้จะเล่นสาย Twin Blade แนะนำให้อัพ Vicious Mastery ไว้ด้วยเพื่อเพิ่มพลังป้องกันธาตุพิษในภายหลัง

ตัวอย่างสาย Twin Blade และ Libido

( คลิ๊กที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ )

      ในที่นี้เป็นเพียงตัวอย่างสำหรับเก็บเลเวลแบบไวเท่านั้นนะครับ หลังรีเซ็ตสกิลในช่วงเลเวล 70 – 90 ก็จะกลับมาเป็นสายจริงๆ ของเรา ซึ่งจะกล่าวถึงอีกครั้งในครั้งต่อๆ ไปครับ

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ