TIP & TRICK
Soulcalibur IV
การเคลื่อนที่ในเกม 8-Way-Run
เป็นพื้นฐานในการเคลื่อนไหวในเกมนี้ ซึ่งเราจะสามารถบังคับตัวละครในเกมเคลื่อนไหวในทิศทางทั้ง 8 ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่กดดันไปในทิศที่ต้องการ โดยการดันหน้าไปหาศัตรูนั้นจะวิ่งเข้าไปหา ซึ่งจะรวดเร็วกว่าการเคลื่อนไหวไปในทิศทางอื่นๆ ส่วนการเคลื่อนในทิศทางอื่นนอกจากหน้า-หลังแล้วนั้นจะเป็นการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง ในลักษณะวงกลมที่มีตำแหน่งของศัตรูเป็นจุดศูนย์กลาง คือถ้าศัตรูไม่เคลื่อนที่ เราก็จะเดินวนรอบศัตรูไปด้านหลังแล้ววนกลับมาที่เดิมนั่นเอง
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือในระหว่างที่เรากำลังเคลื่อนที่ด้วย 8-Way-Run นั้น ท่าโจมตีด้วยปุ่มต่างๆ จะเปลี่ยนไปจากการโจมตีในขณะที่ยืนอยู่กับที่ โดยแต่ละทิศทางจะให้ท่าโจมตีที่ต่างกัน สามารถดูได้จาก Move List ในส่วนของ 8-Way-Run Moves นอกจากนี้ต้องระวังว่าถ้าถูกโจมตีระหว่างที่กำลัง 8-Way-Run ก็จะถือเป็นการโจมตีแบบเคาน์เตอร์
Aerial Control
เป็นการเบี่ยงตัวกลางอากาศเพื่อให้หลุดจากการตามมาคอมโบของศัตรู โดยเมื่อเราถูกโจมตีลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้ว ในจังหวะที่เราถูกโจมตีซ้ำให้ดันทิศทางที่ต้องการไว้ ตัวละครจะเบี่ยงตัวไปตามทิศนั้น ทำให้หลุดจากการถูกคอมโบต่อเนื่องหรือกระเด็นตกเวทีได้
Ukemi
เมื่อเราถูกโจมตีกระเด็นตกพื้น ให้กดปุ่มการ์ดหรือปุ่มการ์ด + ดันทิศทาง ก็จะเป็นการพลิกตัวหรือกลิ้งตัวขึ้นยืนไม่ให้ล้ม ทำให้หลบการโจมตีซ้ำจากคู่ต่อสู้ได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีท่าโจมตีบางท่าจะทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงโดยไม่สามารถพลิกตัวได้ด้วย
รูปแบบการโจมตี Horizontal Attacks และ Vertical Attacks
Horizontal Attacks หรือการโจมตีพื้นฐานด้วยปุ่ม A จะเป็นการโจมตีในแนวนอน ซึ่งท่าพื้นฐานรวมถึงท่าโจมตีส่วนมากมักจะเป็น High ที่สามารถก้มหลบได้ แต่จะสามารถโจมตีศัตรูที่กำลังเดินหลบโดยใช้ 8-Way-Run ขึ้น/ลงได้
Vertical Attacks หรือการโจมตีพื้นฐานด้วยปุ่ม B จะเป็นการโจมตีในแนวตั้ง ซึ่งท่าพื้นฐานรวมถึงท่าโจมตีส่วนมากมักจะโจมตีศัตรูที่กำลังเดินหลบโดยใช้ 8-Way-Run ขึ้น/ลง ไม่ค่อยโดน แต่ท่าส่วนมากจะเป็น Mid ที่ไม่สามารถก้มหลบได้
Kick Attack หรือการโจมตีพื้นฐานด้วยปุ่ม K จะเป็นการโจมตีด้วยการเตะ ซึ่งท่าพื้นฐานรวมถึงท่าโจมตีส่วนมากมักจะเป็น High ที่สามารถก้มหลบได้ นอกจากนั้นยังมีพลังโจมตีต่ำ แต่ข้อดีก็คือ ตัวละครส่วนมากจะออกท่าจากปุ่ม K ได้รวดเร็วกว่าปุ่ม A และ B ส่วนท่าโจมตีด้วยปุ่ม K นั้นจะมีทั้งที่เป็น Horizontal Attacks และ Vertical Attacks
ส่วนการโจมตีที่เป็นปุ่มผสม อย่างเช่น A + B หรือ B + K ก็จะมีทั้งที่เป็น Horizontal Attacks และ Vertical Attacks เช่นกัน
ลักษณะและสัญลักษณ์ต่างๆ ของการโจมตี
High Attack (H) การโจมตีสูงจะไม่โดนคู่ต่อสู้ที่นั่งอยู่
Mid Attack (M) การโจมตีกลาง โดนทั้งคู่ต่อสู้ที่ยืนหรือนั่งอยู่ ต้องยืนป้องกันเท่านั้น ข้อเสียคือจะโดน Guard Impact ทุกระดับป้องกันได้
Low Attack (L) การโจมตีต่ำ โดนทั้งคู่ต่อสู้ที่ยืนหรือนั่งอยู่ ต้องนั่งป้องกันเท่านั้น
Special Mid Attack (SM) และ Special Low Attack (SL) เป็นท่าที่สามารถยืนป้องกันหรือนั่งป้องกันก็ได้ โดย Special Low Attack นั้นจะไม่โดนคู่ต่อสู้ที่กำลังกระโดดอยู่อีกด้วย
Throw (T) ท่าทุ่ม จะไม่สามารถป้องกันได้ แต่จะสามารถก้มหลบได้ แต่จะมีตัวละครบางตัวที่มีท่าทุ่มที่ใช้กับคู่ต่อสู้ที่นั่งหรือนอนอยู่ได้ เช่น Astaros หรือ Rock แต่ท่าทุ่มประเภทนี้ก็จะไม่ได้ผลกับคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่เช่นกัน อนึ่งการแก้ท่าทุ่มนั้น ในจังหวะที่ถูกศัตรูเอื้อมมือมาจับนั้นต้องกดปุ่มให้ตรงกับปุ่มที่คู่ต่อสู้ใช้ เช่น ท่าทุ่มจากปุ่ม A + G ต้องแก้ด้วยการกดปุ่ม A และท่าทุ่มจากปุ่ม B + G ต้องแก้ด้วยการกดปุ่ม B (อาศัยการเดาเท่านั้น) นอกจากนี้ยังมี Air Throw ซึ่งท่าทุ่มที่ใช้กับคู่ต่อสู้ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศจะไม่สามารถแก้ได้
Attack Throw (AT) จะเป็นท่าทุ่มที่เป็นคอมโบต่อเนื่องจากท่าโจมตีธรรมดา โดยเมื่อโจมตีโดนแล้วจะจับศัตรูทุ่มต่อ ซึ่งถ้าโดนแล้วจะไม่สามารถกดปุ่มแก้ท่าทุ่มได้ด้วย โดยท่าโจมตี AT ส่วนมากจะมีผลต่อเมื่อใช้ในจังหวะเคาน์เตอร์
Unblockable Attack (U) แสดงว่าท่าโจมตีนั้นไม่สามารถป้องกันหรือ Guard Impact ได้ ต้องหลบหรือโจมตีสวนเท่านั้น โดยมากจะเป็นท่าที่มีพลังโจมตีสูงแต่ช้า
Guard Break properties (GB) เป็นท่าโจมตีที่ทำให้การ์ดของศัตรูแตกออกเสียจังหวะ และทำให้ Soul Gauge ของผู้ที่ป้องกันลดเยอะด้วย แต่จะสามารถ Guard Impact ปัดการโจมตีได้ นอกจากนี้ถึงจะทำให้ศัตรูการ์ดแตกก็จะไม่มีจังหวะพอจะโจมตีท่าอื่นให้บาดเจ็บต่อได้ทัน ยกเว้นบางท่า เช่น ← A + B(ค้าง) ของ Maxi จะเป็นท่าทำ Guard Break แล้วโจมตีต่อในทันที
Special Movement (SP) เป็นการเคลื่อนที่ในแบบพิเศษชั่วคราวที่ไม่ใช่การโจมตี เช่น ท่ามุดหลบ หรือท่าโดดต่างๆ
Switch to stance (ST) เป็นการเปลี่ยนการตั้งท่าในแบบต่างๆ โดยตัวละครบางตัวจะมีการตั้งท่าหลายแบบ เช่น Siegfried, Mitsurugi
Guard Impact
Repel เป็นการกระแทกการโจมตีของคู่ต่อสู้ให้ถอยกลับไปและทำให้เสียจังหวะชั่วขณะ โดยกด → G จะเป็นการกระแทกการโจมตี High และ Mid กลับ และกด ↘ G จะเป็นการกระแทกการโจมตี Low และ Mid กลับ
ส่วนคู่ต่อสู้ที่กำลังเสียจังหวะเพราะโดน Repel นั้นจะไม่สามารถโจมตีหรือป้องกันได้ขณะนึง แต่จะสามารถกด Repel หรือ Parry การโจมตีคืนได้
Parry เป็นการปัดการโจมตีของคู่ต่อสู้ให้ล้มลง โดยกด ← G จะเป็นการปัดการโจมตี High และ Mid และกด ↙ G จะเป็นการปัดการโจมตี Low และ Mid การปัด High และ Mid จะทำให้คู่ต่อสู้ล้มไปทางขวาของเรา ส่วนการปัด Low จะทำให้ล้มไปทางซ้าย ซึ่งการ Parry นั้นหากสามารถปัดให้คู่ต่อสู้ล้มไปกระแทกกำแพงได้ก็จะเกิดอาการ Stun และจะมีโอกาสให้เราต่อคอมโบได้อีก
Guard Impact properties (IMP) แสดงว่าท่าโจมตีนั้นมีช่วงจังหวะที่เป็น Guard Impact ปัดการโจมตีของศัตรูได้ด้วย โดยช่วงนั้นจะมีออร่าสีม่วงแสดงให้เห็น ทั้งนี้ IMP แต่ละท่าจะปัดประเภทของการโจมตีใดๆ ได้หรือไม่นั้นแตกต่างกัน อนึ่งการทำ IMP นั้น คู่ต่อสู้ที่เสียจังหวะจะไม่สามารถกด Repel หรือ Parry การโจมตีคืนได้
Just Impact เป็นการกด Repel ในจังหวะที่การโจมตีของศัตรูมาถึงพอดี ซึ่งจะมีโอกาสและจังหวะน้อยมาก แต่ถ้าสำเร็จจะเกิดเอฟเฟ็กต์ประกายแสงสีแดง และคู่ต่อสู้จะเสียจังหวะนานกว่า Repel ปกติ และจะไม่สามารถกด Repel หรือ Parry การโจมตีคืนได้ด้วย นอกจากนี้ถ้าเราโจมตีในระหว่างนี้ก็จะถือเป็นการโจมตีแบบเคาน์เตอร์โดยอัตโนมัติ
Soul Gauge และระบบอื่นๆ
เกราะ
ชุดของตัวละครทุกตัวจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ บน, กลาง, ล่าง ตามแถบ 3 ชั้นสีเขียวใต้หลอดพลังชีวิต ซึ่งเกราะแต่ละส่วนจะมีโอกาสถูกทำลายได้จากการโจมตี 3 ระดับคือ High, Mid, Low เช่นกัน โดยถ้าเกราะส่วนใดถูกทำลายแล้วถ้าถูกโจมตีในตำแหน่งนั้นอีกจะได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 10%
Soul Gauge
เป็นลูกแก้วที่ติดอยู่ด้านข้างของหลอดพลังชีวิต โดยเมื่อเริ่มการต่อสู้จะมีสีเขียว ถ้าเต็มจะเป็นสีน้ำเงิน แต่ถ้าใกล้หมดจะเป็นสีแดงกะพริบ การเพิ่มขึ้นของเกจจะเกิดจากการโจมตีคู่ต่อสู้ให้เข้าเป้า หรือโจมตีแล้วคู่ต่อสู้ต้องการ์ดรับ ส่วนการที่เกจลดลงจะเกิดจากการ์ดรับการโจมตี หรือโจมตีไปแล้วถูกคู่ต่อสู้ Guard Impact ได้
Soul Crush และ Critical Finish
เมื่อ Soul Gauge ของคู่ต่อสู้กะพริบแดงแล้ว ถ้ายังตั้งการ์ดหรือถูกทำ Guard Impact อีก ลูกแก้วก็จะแตกกลายเป็นสีดำ และทำให้เกราะถูกทำลายไปด้วย ซึ่งจะเรียกว่า Soul Crush ซึ่งจังหวะนี้ถ้าเรากด A + B + K + G ทันก็จะเป็นการใช้ท่าพิฆาต Critical Finish ซึ่งจะทำให้ชนะในทันที แต่ให้ระวังว่าถ้าเกิด Soul Crush แล้วเราไปโจมตีธรรมดาเข้าก็จะต้องเริ่มกันใหม่จากสีเขียวอ่อน
Stun
เป็นสภาพกึ่งหมดสติที่ไม่สามารถป้องกัน, โจมตี หรือเคลื่อนไหวใดๆ ได้ และเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้โจมตีคอมโบ โดยถ้าโดนโจมตีในระหว่างที่ Stun ก็จะถือเป็น Stun Counter ซึ่งทำให้การโจมตีนั้นให้ผลเหมือนการเคาน์เตอร์ นอกจากนี้ถ้าโจมตีด้วยท่า Stun อื่นต่อเนื่องก็จะทำให้คู่ต่อสู้โดน Stun Combo ได้ การแก้ไขอาการ Stun นั้นจะแก้ได้เฉพาะ Stun บางประเภท โดยการ Stun ที่ถ้าปล่อยทิ้งไว้แล้วจะกลับมาอยู่ในสภาพยืนปกติเอง สามารถทำให้หายเร็วขึ้นได้โดยการโยกปุ่ม/คันบังคับทิศทางไปมาอย่างรวดเร็ว ส่วนอาการ Stun ที่ถ้าปล่อยที่ไว้สักพักแล้วจะล้มไปนอนนั้นจะไม่สามารถแก้ไขได้เลย
ตารางสกิล
สกิลจะติดได้ไม่เกิน 4 สกิล และไม่เกินค่า Power Impact Boost Gauge หรือ Special ที่ตัวละครมี โดยค่าพวกนี้สามารถเพิ่มได้จากการเปลี่ยนอาวุธ และใส่เสื้อผ้าต่างๆ ส่วนตัวละครที่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้ก็จะสามารถใส่ Special Equipment (แหวน) ได้
สกิลประเภทที่ต้องกด A + B + K ใช้โซลเกจ สามารถติดตั้งได้อย่างเดียว
สกิลที่ติดมากับอาวุธจะไม่สามารถเอาออกได้
Tower of Lost Souls
เป็นโหมดที่ให้เราเลือกตัวละครเล่นตะลุยหอคอย โดยจะสามารถเลือกอาวุธและชุดแต่งกาย รวมทั้งใส่สกิลเพิ่มความสามารถให้ตัวละครได้ ซึ่งเราจะสามารถเอาไอเทมชุดแต่งการเพิ่มเติมได้จากการเล่นโหมดลุยหอคอยนี้ด้วยเช่นกัน
1. หอคอยชุดแรกAscending (ทางขึ้น) จะมี 60 ชั้น จะแบ่งให้เล่นเป็นช่วงๆ 1-5 ชั้น
ซึ่งเมื่อผ่านแต่ละช่วงแล้ว ก็จะสามารถเลือกเล่นช่วงต่อไปได้เลยไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 ใหม่ การเล่นในหอคอยทางขึ้นนี้ จะได้ไอเทมก็ต่อเมื่อทำตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น แต่แนะนำให้เล่นจบทั้ง 60 ชั้นก่อนแล้วค่อยกลับมาทำเงื่อนไขทีหลัง
2. หอคอย Descending (ทางลง) จะเล่นได้ก็ต่อเมื่อผ่าน หอทางขึ้น 60 ชั้นก่อน ซึ่งหอคอยนี้จะเล่นไปได้เรื่อยๆ ถ้าพลาดแล้วต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ชั้น 1 ผู้เล่นจะได้ไอเทมจนถึงชั้นที่ 40 จากนั้นจะไม่มีอะไรตอบแทนให้ แต่จะนำจำนวนชั้นที่เราลงไปได้ลึกสุด ไปจัดอันดับแบบออนไลน์บน Network
เงื่อนไขการเอาหีบจากหอคอย 60 ชั้น
โดยหอคอยจะมี 2 แบบคือ
1f ผ่านฉากโดยไม่เสียพลัง
2f ผ่านฉากโดยไม่มีใคร Ring Out
3f เปลี่ยนตัว 2 ครั้ง
4f Attack Throw 3 ครั้ง
5f ทำศัตรู Ring Out 1 ตัว
6f จับศัตรูทุ่ม
7f โจมตีไม่พลาดเลย
8f เปลี่ยนตัว 2 ครั้ง
9f การ์ดได้ 3 ครั้งติดกัน
10f การ์ดได้ 10 ครั้งติดต่อกัน
11f ใช้ Critical Finish ชนะทุกตัว
12f ชนะโดยการ Ring Out
13f ทำลายกำแพงทั้งหมด
14f ทำ Guard Impact 3 ครั้ง
15f ใช้แค่ปุ่ม A กับ G โจมตี
16f ชนะตอนเวลา 0
17f ทำได้มากกว่า 5 Combo
18f เดินไปที่มุมทั้งหมดของฉาก
19f เปลี่ยนตัว 5 ที
20f ผ่านฉากโดย Critical Finish
21f ทำ Ring Out ตัวเอง (ต้องโดดเอง ห้ามโดนโจมตีตก)
22f ทำ 4 เคาน์เตอร์
23F การ์ดได้ 3 ครั้งติดกัน
24f ทำคอมโบชุดเดียวเกิน 240 เดเมจ (ใช้ท่า Unblockable Attack ก็ได้)
25f ทุ่ม 5 ครั้ง
26f ทำ 10 คอมโบขึ้นไป (แนะนำ AMY)
27f ผ่านฉากโดยไม่เสียพลัง
28F ศัตรู Guard Break 2 ครั้ง
29f เปลี่ยนตัว 5 ครั้ง
30f ไม่การ์ดเลย
31f ทำท่าประเภท (Just) ที่ต้องกดตรงเวลาพอดี 5 ครั้ง
32f ทุ่มศัตรูที่นั่งอยู่ (ต้องใช้บางตัวเท่านั้นเช่น Rock)
33f Attack Throw 3 ครั้ง
34f ทำ Guard Impact 3 ครั้ง
35f ไม่เปลี่ยนตัวเลย
36f ชนะตอนเวลา 0
37f ใช้ Critical Finish ชนะทุกตัว
38f ชนะโดยการ Ring Out ทั้งหมด
39f ผ่านฉากโดยไม่เดินเลย
40f ทำ 5 Combo ขึ้นไป
41f ทำท่าประเภท (Just) ที่ต้องกดตรงเวลาพอดี 5 ครั้ง
42f ผ่านฉากโดยไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูใช้สกิลแบบกด A + B + K
43f จับศัตรูทุ่มจากด้านหลัง
44f ผ่านฉากโดยไม่มีใคร Ring Out
45f สู้โดยไม่ได้ใส่สกิล
46f สู้โดยไม่ได้ใส่สกิล
47f ทุ่ม 5 ครั้ง
48f ผ่านฉากด้วยตัวละครที่ใส่สกิล Invisible
49f โจมตีไม่พลาดเลย
50f ทำ 10 Combo ขึ้นไป
51f ทำ 4 เคาน์เตอร์
52f ผ่านฉากด้วย Critical Finish ปิด
53f ชนะโดยการ Ring Out ทั้งหมด
54f ทำลายกำแพงทั้งหมด
55f Attack Throw 3 ครั้ง
56f ทำคอมโบชุดเดียวเกิน 240 ดาเมจ (ใช้ท่า Unblockable Attack ก็ได้)
57f ทำ Ring Out ตัวเอง (ต้องโดดเอง ห้ามโดนโจมตีตก)
58f สู้โดยไม่ได้ใส่สกิล
59f การ์ดได้ 10 ครั้งติดต่อกัน
60f ผ่านฉากโดยไม่กดเปลี่ยนตัวเลย