Sid meier's Civilization IV : Colonization เมื่อโคตรคุณปู่แห่งเกมแนว Turn-Based Strategy ออกจรลีเดินทางเยื้องย่างสู่โลกใหม่!

แชร์เรื่องนี้:
Sid meier's Civilization IV : Colonization เมื่อโคตรคุณปู่แห่งเกมแนว Turn-Based Strategy ออกจรลีเดินทางเยื้องย่างสู่โลกใหม่!

ประเภท: TURN-BASED STRATEGY
ผู้พัฒนา: FIRAXIS
ผู้ผลิต: 2K
ผู้จัดจำหน่าย: NEW ERA
เว็บไซต์: WWW.CIVILIZATION.COM
กำหนดวางตลาด: ปลายปี 2008

     เป็นที่รับทราบกันดีว่าในปี 1492 ยอดนักสำรวจระดับตำนาน Christopher Columbus ได้เดินทางค้นพบทวีปอเมริกา (อย่างน้อยๆ ก็ตามที่พวกยุโรปเชื่อกันน่ะนะ) และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในสงครามแย่งชิงดินแดนและเหล่าผองชนพื้นเมืองของเหล่ามหาอำนาจแห่งทวีปยุโรป ที่จะนำไปสู่การก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา จากวันนั้น...เวลาล่วงเลยมาอีกห้าร้อยกับอีกสองปี (ซึ่งตรงกับปี 1994) Sid Meier's Colonization เกมวางแผนแบบ Turn-Based Strategy จากผลงานการสร้างของ Sid Meier เทพเจ้าแห่งวงการเกม และอีกหนึ่งบุคคลระดับประวัติศาสตร์ ที่ให้ผู้เล่นได้สวมบทบาทนักล่าอาณานิคม ก็ได้ฤกษ์สู่ชั้นวางขาย

      ในตอนนี้เวลาได้ผ่านล่วงเลยมาอีก 14 ปีจนมาถึงปัจจุบัน ณ ที่ทำการของ Firaxis ค่ายพัฒนาเกมที่ก่อตั้งโดย Meier หลังจากที่เขาปลีกตัวออกมาจาก Microprose บริษัทดั้งเดิม และหลังจากที่ Sid Meier's Civilization IV ติดลมบนไปเมื่อไม่นานนี้ พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะรับฟังเสียงของเหล่าแฟนๆ ตามชุมชนออนไลน์และพบว่าบรรดาหน้าเก่าที่ยังคิดถึงซีรีส์สุดคลาสสิกเก่าเก็บดังกล่าวนั้นมีจำนวนมากกว่าที่คิดไว้ และด้วยพลังและความคล่องตัวของเอนจิ้น Civ IV ที่มีอยู่ในมือ พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะปลุกชีพ Colonization ขึ้นจากหลุมให้เป็นบรรณาการแด่เหล่านักเล่นเกมแห่งยุคสมัยใหม่ในทันที

     อย่างไรก็ดี มองข้ามเรื่องชื่อ Sid Meier's Civilization IV: Colonization ไปเสีย เพราะนี่ไม่ใช่เกมภาคเสริมแต่อย่างใด เพราะ Colonization คือเกมตัวเต็มในตัวของมันเองอย่างแท้จริง มันมีสโคปที่เล็กกว่าซีรีส์ Civ (ในแง่ที่มันจับประเด็นแค่ภูมิภาคเดียวของโลก) และเน้นหนักไปที่การค้าขายกับเกมการเมืองมากกว่าการเป็นมหาอำนาจแห่งโลก และแตกต่างไปจากตอนจบปลายเปิดในเกมซีรีส์ Civ ใน Colonization นี้จะมีบทสรุปสำคัญเพียงประการเดียวนั่นคือ... คุณต้องประกาศปลดแอกตนเองออกจากประเทศแม่ และเข้าร่วมสงครามปฏิวัติเพื่ออิสรภาพใหม่ หรือไม่ก็ถูกบดขยี้กลายเป็นแค่วรรคหนึ่งในประวัติศาสตร์เพียงเท่านั้น

     และด้วยประสิทธิภาพอันทรงพลังประหนึ่งหินผาของเอนจิ้น Civ IV นี้เอง ที่ทำให้ Firaxis มั่นใจมากพอที่จะให้ผมได้ลองนั่งลงเล่นตัวเกมในทันที ผมเลือกชนชาติดัตช์ด้วยความที่เป็นมหาอำนาจทางการค้า และออกเดินทางจากฮอลแลนด์ในฐานะผู้สำเร็จราชการแห่งอาณานิคมใหม่ในทันที สำหรับชนชาติตัวเลือกอื่นๆ ที่เหลือก็เช่นอังกฤษ (ได้เปรียบเรื่องผู้อพยพ), ฝรั่งเศส (ง่ายต่อการผูกมิตรกับชนพื้นเมือง) และสเปน (เด่นด้านการสำรวจและการล่าอาณานิคม) ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตการพัฒนาทางด้านกราฟิกที่เหนือชั้นไปกว่า Civ IV อย่างเท็กซ์เจอร์พื้นที่โดยรอบๆ นั้นยกระดับขึ้นไปอีกขั้น รวมถึงเรือที่พานักสำรวจและกองทหารชุดแรกของผมเคลื่อนตัวกวาดคลื่นผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกที่ระยิบระยับพลิ้วไหวสวยงามน่าชม

 

     หลังจากเดินทางจนล่วงเข้าสู่ปี 1492 ผมแล่นเรือไปทางทิศตะวันตก และใช้เวลาไม่นานก่อนจะค้นพบหมู่เกาะแรก แต่ก็ยังช้ากว่าประเทศอังกฤษคู่แข่ง แต่แทนที่ผมจะเข้าหักหาญแย่งชิง ผมแล่นเรือลงไปทางทิศใต้จนค้นพบกับเกาะอีกแห่งหนึ่งและให้นักสำรวจของผมก่อตั้ง Dan Francisco อาณานิคมแรกขึ้นมา ในไม่ช้า ผมก็ได้รับการต้อนรับจากชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันเพื่อนบ้านใหม่ของผม พร้อมกับที่ดินเป็นของกำนัลเพราะเป็นที่แน่นอนว่าผมจัดอยู่ในผู้เดินทางที่ 'ไม่เป็นอันตราย' กับใครนั่นเอง

     ในดินแดนที่ผมก่อตั้งอาณานิคมนั้นค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำตาล และชาวเมืองของผมก็ไม่รอช้าที่จะเริ่มเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเพื่อส่งออก (การบริหารจัดการอาณานิคมส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบอัตโนมัติ แต่คุณสามารถจัดแจงหน้าที่ของชาวอาณานิคมได้ตามต้องการ) ใช้เวลาเพียงไม่กี่เทิร์น ผมก็ได้น้ำตาลปริมาณมากพอที่จะบรรจุในท้องเรือ แล่นส่งกลับไปขายที่ฮอลแลนด์บ้านเกิด มันเป็นเงินจำนวนเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากพอที่ผมจะจ้างหัวหน้าพรานเพื่อเปิดแผนที่ในดินแดนอาณานิคมใหม่ (ชาวอาณานิคมสามารถบรรจุลงในงานใดก็ได้ แต่คุณจะได้รับโบนัสพิเศษสำหรับยูนิตระดับหัวหน้างาน) นายพรานของผมเริ่มผูกมิตรกับชนพื้นเมือง ที่เสนอตัวฝึกฝนชาวอาณานิคมธรรมดาให้เป็นชาวนา หรือนักปลูกยาสูบ และบางครั้งก็มอบลูกปัดล้ำค่าและทองแท่งเป็นของกำนัล ในขณะเดียวกัน ผมก็สร้างอู่ต่อเรือที่ Dan Francisco ที่ทำให้ชาวอาณานิคมของผมสามารถออกเรือไปหาปลาในน่านน้ำใกล้เคียงได้โดยเสรี และในการเดินทางสู่ฮอลแลนด์ครั้งถัดมา ผมก็ซื้อเครื่องมือบรรทุกเต็มลำเรือ เปลี่ยนชาวอาณานิคมให้เป็นนักสำรวจเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยรอบๆ ด้วยถนน ฟาร์ม และเหมือง

    ในตอนนี้ Dan Francisco ได้ก่อตั้งถึงระดับหนึ่ง ผมก็เริ่มเคลื่อนย้ายนักสำรวจไปตามไหล่ทวีปอีกสองสามช่วงเพื่อก่อตั้ง Dan Jose แต่ที่นั้นเอง ที่ผมถูกหยุดยั้งไว้จากชนเผ่าพื้นเมืองที่ความมีน้ำใจดีเริ่มจะถึงขีดสุด และผมต้องเก็บทองมาจ่ายเป็นค่าที่ดินจำนวนหนึ่ง หรือจะเลือกเปิดฉากสงครามกับชนพื้นเมืองที่ทหารหนึ่งกองของผมไม่มีแม้แต่โอกาสจะชนะ แน่นอน ผมเลือกที่จะจ่ายให้กับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     ในขณะที่ผมมีอาณานิคมที่ประสบความสำเร็จถึงสองแห่ง ความสัมพันธ์กับชนพื้นเมืองราบรื่น และเศรษฐกิจขาขึ้น ตอนนั้นเองที่องค์กษัตริย์ดัตช์เริ่มเล็งเห็นว่าตนเองไม่ได้รับส่วนแบ่งที่สมควร พร้อมกับเรียกร้องภาษีส่งออกขึ้นเป็น 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมก็โต้กลับด้วยการจัดงานเลี้ยงและเหวี่ยงเอาน้ำตาลที่มีอยู่ทั้งหมดลงทะเลไปเสียแทนที่จะมาจูบหัวแหวนรับข้อเสนอของพระองค์ การกระทำดังกล่าวช่วยลดหย่อนภาษีลงได้ แต่ผลร้ายคือผมโดนคว่ำบาตรการส่งออกน้ำตาลที่ทำให้ต้องหาหนทางใหม่ โชคดีที่ Dan Jose ผลิตไม่ได้มากเกินกว่าความต้องการ และแม้ว่ามันจะมีราคาที่ถูกแสนถูกจนไร้คุณค่า ผมก็หาทางสร้างความได้เปรียบให้กับตนเองด้วยการสร้างคาราวานการค้าส่งไม้ไปยัง Dan Francisco ที่ช่วยลดภาระงานด้านไม้ของอาณานิคมนั้น ก่อนที่ผมจะเอาส่วนต่างแรงงานมาใช้ในการแปรรูปน้ำตาลเป็นเหล้ารัม และด้วยค่าที่ว่าผลผลิตแปรรูปจะมีราคาดีกว่าวัตถุดิบหลักๆ มันจึงทำเงินให้กับผมได้เป็นกอบเป็นกำนับตั้งแต่การส่งออกครั้งแรก เป็นอีกครั้งที่ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยเหล้าจริงๆ แต่กระนั้นวิธีการดังกล่าวก็ใช่ว่าจะยั่งยืน เพราะการส่งออกที่มากเกินไปจะทำให้ราคาตกต่ำ และคงอีกไม่นานเช่นกันที่องค์ราชาจะหาหนทางขูดรีดผมอีกจนได้

 

     และเมื่อผมขยายอาณาเขตออกไปทั้งตอนบนและตอนล่างของชายฝั่ง ผมก็เริ่มหันเหความสนใจในการผลิตด้านอื่นๆ อย่างเช่น การเก็บเกี่ยวดอกฝ้ายที่สามารถแปรรูปเป็นผ้าดิบ และยาสูบที่มวนเป็นซิการ์ ผมขุดแร่ที่ช่างเหล็กสามารถนำมาผลิตเป็นเครื่องมือ (ตัดภาระด้านนี้จากโลกเก่าไปได้เลย) และให้ช่างผลิตอาวุธทำปืนยาวในตอนหลัง เพื่อให้ผมสามารถป้องกันตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร และเพื่อเพิ่มการผลิตดังกล่าว ผมจ้างนักเพาะปลูก ช่างถักทอ ช่างเหล็ก และช่างทำอาวุธจากฮอลแลนด์ รวมถึงอัพเกรดสิ่งก่อสร้างเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

     แต่ในขณะเดียวกันนี้เอง ที่อาณานิคมของผมมีสิ่งใหม่ที่สามารถผลิตได้นั่นคือ ระฆังแห่งเสรีภาพ ที่เพื่อสัญลักษณ์เหล่านี้ถูกผลิตมาได้เป็นจำนวนหนึ่ง มันก็ช่วยให้ผมจ้าง Cyrus McCormick สมาชิกสภาแห่งชาติคนแรก ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตด้านอาหารและน้ำตาล และเร่งกระบวนการผลิตเหล้ารัมของผมขึ้นได้อีกเป็นอักโข

      ด้วยอาณานิคมถึงสี่แห่งและอุตสาหกรรมที่เป็นไปได้ด้วยดี ผมเริ่มจะมีความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นในใจ ก็ผมจะยังต้องการพวกพื้นเมืองป่าเถื่อนเหล่านี้ไปอีกทำไม พวกมันก็แค่ทำให้พื้นที่มันว่างน้อยลง และถ้าผมเข้าปล้นชิง อาจจะได้สมบัติล้ำค่าส่งกลับประเทศแม่ก็ได้นะ! แถมตอนนี้ผมยังมีกองทหารจำนวนมาก บ้างก็เป็นทหารม้า และยังซื้อปืนใหญ่จากยุโรปมาอีก การจะเข้าต่อกรกับคนพื้นเมืองที่มีแค่หอกไม้มันง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยจริงๆ

       เอาเถอะ นั่นเป็นจุดเริ่มก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่จุดอับ เพราะแม้ศึกแรกๆ จะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ผมประเมินจำนวนของพวกเขาเหล่านั้นต่ำเกินไป ในไม่ช้าเหล่าทหารหาญของผมก็พบว่าตัวเองถูกล้อมกรอบ ซ้ำร้าย นักรบพื้นเมืองบางคนที่ฆ่าทหารของผมก็แย่งปืนไปใช้ ทำให้การต่อสู้ยากเกินกว่าที่คิดไว้อีกมาก และพวกเขาก็เริ่มเข้าปล้นชิงอาณานิคม สังหารหมู่ชาวบ้าน และขโมยสินค้ากันยกใหญ่ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่ผมควรจะถอนตัวก่อนที่เหล่าผู้พัฒนาจะเห็นว่าผมโดนยำซะกระอักเลือดนั่นล่ะ

      ในฐานะแฟนพันธุ์แท้เก่าแก่ดั้งเดิมของภาคต้นตำรับ ผมรู้สึกประทับใจกับการรักษาซึ่งจิตวิญญาณในการออกแบบของ Colonization ภาคนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าไม่นับลูกเล่นใหม่ๆ อย่างชนพื้นเมืองที่นับเป็นฝักฝ่ายหนึ่ง (ไม่ใช่แค่คนเถื่อนร่อนไปมา) นักสำรวจที่ใช้ทองจ่ายแทนที่จะเป็นเครื่องมือ ระบบการทำงานของสมาชิกสภาแห่งชาติ และโหมดผู้เล่นหลายคนแล้วนั้น เกมเกมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการกำเนิดใหม่ของ Colonization ที่น่าคิดถึงยิ่งนัก และมันไม่เกี่ยวกับความสร้างสรรค์ใหม่ๆ หรอกครับ เพราะชิ้นงานเก่าๆ บางครั้งมันก็สมควรที่จะรับได้การปรับปรุงด้วยลูกเล่นและกราฟิกสดใหม่ แน่นอน เกมนี้คือหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยจริงๆ

 

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ