ประเภท: ROLE-PLAYING GAME
ผู้พัฒนา: BIOWARE/DEMIURGE
ผู้ผลิต: EA
ผู้จัดจำหน่าย: EA
เครื่องที่ต้องการ: P4 2.4GHZ, 1GB RAM (2GB VISTA), 12GB HD SPACE, GEFORCE 6800/RADEON X1300XT OR BETTER, DVD DRIVE, INTERNET CONNECTION
เครื่องที่แนะนำ: DUAL-CORE CPU, 2GB RAM, GEFORCE 7800GTX/RADEON X1950
จำนวนผู้เล่นสูงสุด: 1
ESRB RATING: M
หลังจากการรอคอยอันยาวนาน ในที่สุด Mass Effect เกมมหากาพย์ยุคอวกาศก็มาลงเครื่องพีซี ถึงเวลาแล้วที่พีซีเกมเมอร์อย่างเราจะได้สวมบทบาทเป็น Specter สุดยอดสายลับผู้อยู่เหนือกฎหมาย เข้าต่อสู้กับเหล่าร้ายเพื่อ... กำจัดมหันตภัยที่จะมากวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวงให้หมดไปจากกาแล็กซี ด้วยรูปแบบการเล่นที่อัดแน่นไปด้วยแอ็กชั่น ด้วยการออกแบบที่เยี่ยมยอด และด้วยกราฟิกที่โดดเด่นราวกับภาพยนตร์ ทำให้ทาง BioWare สามารถสร้างจักรวาลที่มีความสมจริงพอๆ กับมหากาพย์ในตำนานอย่าง Star Wars และ Star Trek ซึ่งถ้าคุณต้องการจริงๆ Mass Effect ก็จะมีเรื่องราว ภูมิหลัง ข้อมูล และรายละเอียดของตัวละคร เผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเทคโนโลยีต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ ให้คุณเลือกเปิดอ่านได้ตลอดเกม (กว่าจะอ่านจบก็กินเวลาหลายชั่วโมง)
ในฐานะที่คุณเป็น Specter ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งมาหมาดๆ คุณจะได้บัญชาการยาน Normandy ซึ่งเป็นยานรบที่ทันสมัยที่สุดในกองยานรบของฝ่าย Alliance (ซึ่งในยาน Normandy ก็มียานพาหนะที่ชื่อ Mako ที่สามารถแล่นไปได้แทบจะทุกสภาพพื้นผิว) ยาน Normandy จะเป็นเสมือนตั๋วสู่การเดินทางแบบไร้ขีดจำกัดของคุณ คุณจะสามารถออกท่องอวกาศได้อย่างอิสระ คุณจะเน้นทำแต่เควสต์หลักๆ อย่างเดียว หรือเที่ยวทำเควสต์ย่อยๆ ที่มีนับสิบเพื่อสะสมประสบการณ์และหาไอเทมต่างๆ หรือแค่บินหาคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณ สำหรับผมแล้ว แค่เน้นทำเควสต์หลักๆ บวกกับเควสต์ย่อยๆ อีกเล็กน้อยก็สนุกเพียงพอที่จะทำให้ผมนั่งเล่นเกมนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 24 ชั่วโมงรวดแล้ว ดังนั้นถ้าคุณเป็นพวกที่เน้นเก็บรายละเอียดทุกอย่าง ผมก็คิดว่าน่าจะมีเนื้อหาให้คุณเล่นเกิน 30 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ซึ่งผมยังไม่ได้นับเวลาที่ใช้สำหรับการเล่นรอบสองเข้าไปด้วยนะ เพราะด้วยตัวเลือกมากมายในเกมคุณคงจะอยากกลับมาเล่นอีกครั้งเพื่อลองดูว่าหากเลือกอีกคำตอบหนึ่งแล้วเนื้อเรื่องจะออกมาเป็นอย่างไร หรือไม่ก็กลับมาเล่นเป็นตัวละครอีกคลาสหนึ่ง หรือไม่ก็เพราะคุณอยากลองเอาเพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่งไปทำภารกิจใดภารกิจหนึ่งเผื่อว่าจะมีตัวเลือกแปลกๆ เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี หากคุณได้เล่นรอบสองคุณจะพบว่าผลลัพธ์มันไม่ได้แตกต่างไปจากการเล่นรอบแรกเท่าไรเลย เพราะจริงๆ แล้วตัวเลือกที่มีนั้นถูกจำกัดอยู่ในกรอบของการที่เนื้อเรื่องนั้นมีจุดจบอยู่แบบเดียว (คุณชนะผู้ร้าย) แม้ว่าคุณจะมีโอกาสทำตัวเลวๆ (ผลลัพธ์ของการทำตัวเลวอาจร้ายแรงถึงขั้นที่ทำให้ตัวละครสำคัญๆ หรือเพื่อนร่วมทีมของคุณต้องตาย) แม้ว่าคุณจะวางตัวเข้าข้างมนุษย์แบบสุดๆ แต่ท้ายสุดแล้วการกระทำของคุณก็ไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมของเกม ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่น้อย เพราะการที่การตัดสินใจของเรามีผลกระทบกับจุดจบของเกมนั้นเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้ผู้เล่นรู้สึกอินกับเกมมากขึ้น
การเดินทางสายกลางนั้นก็ไม่ใช่ตัวเลือกเช่นกัน เพราะศัตรูของคุณแทบทุกคนไม่มีความต้องการที่จะต่อรองกับคุณ การต่อสู้ก็เป็นการต่อสู้จากเบื้องหลังที่กำบัง (การต่อสู้ระยะประชิดนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้น) แต่กระสุนของคุณจะยิงโดนศัตรูหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับค่าความสามารถและอุปกรณ์ของคุณด้วย (คุณอาจจะเห็นว่าเล็งยิงโดนเป้าหมายแน่ๆ แต่กลับไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะอาวุธของคุณไม่แรงพอจะเจาะเกราะศัตรู) ถ้าหากคุณเลือกคลาสตัวละครที่มีความสามารถ “Biotic” (เป็นความสามารถคล้ายกับ “The Force” ของอัศวินเจไดที่ทำให้คุณสามารถยก, ผลัก หรือหยุดศัตรูได้) ตัวละครบางคลาสก็จะมีความสามารถทางเทคนิคที่ช่วยยกระดับพลังโจมตีของคุณ ทีมของคุณจะประกอบไปด้วยตัวคุณกับเพื่อนอีกสองคน ซึ่งหากคุณกดปุ่ม Spacebar คุณก็จะสามารถหยุดเกมเพื่อออกคำสั่งให้เพื่อนๆ ของคุณใช้ความสามารถหรือกำหนดเป้าหมายโจมตี ระบบนี้นับว่าเป็นระบบสั่งการที่เรียบง่ายแต่ก็มีประสิทธิภาพ (เวอร์ชั่นพีซีมีอินเตอร์เฟสที่เหนือกว่าเวอร์ชั่น Xbox 360 มาก) ระบบนี้ยังช่วยให้คนที่คุ้นเคยกับเกม RPG สามารถเลือกเป้าโจมตีได้โดยไม่ต้องเจอกับอาการกระตุก
การเก็บไอเทมต่างๆ ก็ได้รับการปรับปรุงให้ง่ายขึ้น ไอเทมต่างๆ ที่ศัตรูเอาชนะได้เหลือทิ้งไว้จะถูกจัดเก็บเข้า Inventory ของคุณโดยอัตโนมัติ ถือว่าเป็นการกำจัดความยุ่งยากของการที่จะต้องมานั่งค้นศพทุกศพหลังจากที่การต่อสู้จบลง ระบบนี้ทำให้เกมไม่หยุดชะงัก แต่มันก็อาจจะไม่สมจริงเล็กน้อย (เอ... ไอเทมจากศัตรูที่เราซุ่มยิงจากระยะ 100 เมตรมาอยู่ในกระเป๋าเราได้ยังไงหว่า?)
เมื่อพูดถึงการเก็บของและไอเทม เราก็คงไม่สามารถมองข้ามระบบที่แย่ที่สุดของเกมที่เกือบจะเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ระบบนั้นคือระบบการบริหารไอเทมที่คุณเก็บได้ เวลาที่คุณต้องการจะขายหรือซื้อไอเทมอะไรสักอย่าง สิ่งที่คุณจะได้เจอคืออินเตอร์เฟสที่ไร้ระเบียบ ไม่มี Filter ให้เลือกดูเฉพาะอาวุธหรือเกราะ ทำให้การหาของที่คุณต้องการ 1 ชิ้นจากไอเทมกว่าร้อยชิ้นเป็นเรื่องยากเกินจำเป็น ไม่มีการจับรวมเอาไอเทมแบบเดียวกัน คุณไม่สามารถเปลี่ยนชุดแต่งอาวุธของคุณอย่างรวดเร็วได้ระหว่างการต่อสู้ (การปรับแต่งอาวุธของคุณจะช่วยให้คุณต่อกรกับศัตรูต่างประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น)
แต่ก็โชคดีที่ผลลัพธ์ของการพอร์ทจากคอนโซลไม่ลามมาถึงระบบการควบคุมตัวละคร ทางทีมงาน BioWare ออกแบบการควบคุมด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดมาได้อย่างยอดเยี่ยม (แม้ว่าระบบการควบคุมรถ Mako จะบังคับยากไปนิด ซึ่งก็มักจะส่งผลให้เราต้องแก้ไขทิศทางการวิ่งอยู่ตลอดเวลา) เวลาที่คุณจะเปิดกล่องไอเทมคุณจะต้องเล่นมินิเกมซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมที่คุณต้องเลื่อนกลอนผ่านล็อกที่หมุนอยู่เข้าไปสู่จุดศูนย์กลางเพื่อปลดล็อกกล่อง ซึ่งการปลกล็อกระดับยากที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆ อย่างที่คุณคิด
ในภาพรวมแล้ว Mass Effect เป็นเกมที่เรียกได้ว่าคุ้มคุณค่ากับการทุ่มทุนสร้าง แม้กราฟิกในเกมจะไม่ถึงขั้นล้ำยุค แต่ก็ถือได้ว่าเป็นกราฟิกที่คุณภาพสูง (แม้ว่าจะมีเงาแปลกๆ โผล่มาบนหน้าของตัวละครเพื่อทำให้เรารำคาญบ้างเป็นบางครั้ง) ส่วนการออกแบบมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่า Salarian และ Turian นั้นเรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ การให้เสียงพากย์ที่อัดแน่นเต็มเกมก็ล้วนแล้วแต่มีคุณภาพ เสียงที่เราคุ้นเคยอย่างเสียงของ Seth Green (จาก Robot Chicken, Family Guy), นักภาพเสียงทุ้มลุ่มลึกอย่าง Keith David (จากเกม Requiem for a Dream, Halo 2, Fallout), Lance Henricksen (จาก Aliens, Millennium) และ Marina Sirtis (จาก Star Trek: The Next Generation) ทำให้ทางเลือกในการสนทนาที่หลากหลาย และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่ซับซ้อนนั้นน่าสนใจควรค่าแก่การค้นคว้ามากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าผมจะเจอกับบั๊กที่ทำให้เกมแฮงก์บ้างในช่วงท้ายๆ เกม แต่การที่เกมระดับนี้จะแฮงก์สักหนึ่งครั้งในเวลาเจ็ดชั่วโมงก็นับว่าไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก อย่างน้อยมันก็ไม่ร้ายแรงพอที่จะทำให้ผมต้องเตือนเกมเมอร์ไม่ให้ซื้อเกมสุดแจ่มเกมนี้มาลองเล่น สำหรับผมแล้ว Mass Effect นับว่าควรค่าแก่การเป็นหนึ่งในสุดยอดเกม RPG บนเครื่องพีซี