Turning Ponint: Fall of Liberty ชื่อเกมที่แปลว่าจุดเปลี่ยนน่าจะตั้งว่าจุดดับซะมากกว่า

แชร์เรื่องนี้:
Turning Ponint: Fall of Liberty ชื่อเกมที่แปลว่าจุดเปลี่ยนน่าจะตั้งว่าจุดดับซะมากกว่า


ประเภท: FIRST-PERSON SHOOTER
ผู้พัฒนา: SPARK
ผู้ผลิต: CODEMASTERS
ผู้จัดจำหน่าย: -
เครื่องที่ต้องการ: P4 2.8GHz CPU, 1GB RAM, 6GB HARD DRIVE, 128MB SHADER 3.0 3D CARD
เครื่องที่แนะนำ: 2.2GHz DUAL-CORE CPU, 2GB RAM, 256MB 3D CARD
จำนวนผู้เล่นสูงสุด: 8
ESRB RATING: T

 

     ถ้า Winston Churchill เกิดเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะปะทุขึ้นมาจริงๆ ละก็ พลพรรคนาซีน่าจะสามารถพิชิตภูมิภาคยุโรปได้ไม่ยาก นั่นคือแนวคิดหลักของเกม Turning Point: Fall of Liberty ซึ่งเป็นการบิดเบือนเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้กองทัพนาซีของเยอรมันบุกข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงหน้าประตูบ้านของประเทศสหรัฐอเมริกาได้โดยสะดวกโยธิน แต่ขอให้เตรียมตัวพบกับอานุภาพความผิดหวังอันแสนรุนแรง แนวคิดอันโดดเด่นว่าด้วยการปลดปล่อยประเทศอเมริกาใน Turning Point กลับทำให้กลายเป็นเหมือนเกมเดินหน้าไล่ยิงดะราคาถูกและจืดชืด ยิ่งกว่าเกมที่มีพื้นหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็มีอยู่เต็มท้องตลาดมากพออยู่แล้วเสียอีก

 

     ปัญหาในเกมยิงที่สุดแสนจะตรงแน่วเกมนี้มีมากมายจนสาธยายได้ไม่หมด โดยส่วนใหญ่จะวนเวียนอยู่กับคำว่า การต่อสู้อันไร้ซึ่งชีวิตชีวา ด้วย AI ของฝ่ายศัตรูที่ดูเหมือนปราศจากจิตวิญญาณนักสู้ ทหารนาซีนับร้อยจะยืนแข็งทื่อเป็นก้อนหิน แม้จะถูกยิงจนพรุน บางครั้งก็ยืนนิ่งกับที่ไม่วิ่งไปไหนมาไหนอย่างไม่มีเหตุผล และแบบพิมพ์นิยมคือ เดินติดประตูออกไม่ได้ ผมยังพบเห็นทหารเดินลอยเหนือพื้นดินอีกหลายต่อหลายครั้งหรือแม้กระทั่งทหารที่ยืนนิ่ง ขนาดถูกยิงด้วยปืนลูกซองเข้าไปเต็มเปา ส่วนทหารที่พอจะตอบโต้เราได้บ้างกลับถูกเชือดได้อย่างง่ายดาย เพราะทักษะการยิงปืนกลที่ห่วยแตกและการที่พวกมันพึ่งพาแต่ลูกระเบิดในมือมากเกินไป ส่งผลให้ตัวเกมดูน่ารำคาญมากกว่าคุกคาม มันยากที่จะปักใจเชื่อจริงๆ ว่า กองทัพง่อยเปลี้ยแบบนี้จะสามารถถล่ม New York City จนราพนาสูรได้และมันยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปอีกว่า ทีมพัฒนา Spark กลับไว้วางใจปล่อย AI ไร้สมองแบบนี้มาดูแลความสนุกให้กับคุณ

     ต่อให้คุณสามารถทนการต่อสู้ที่ไม่น่าจดจำนี้ได้ คุณยังคงต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังต่อไปอีก ด้วยเนื้อเรื่องที่เขียนอย่างลวกๆ และบั๊กที่คอยแพร่พันธุ์อยู่ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงของเกม (ใช่แล้วครับ เกมนี้มันยาวแค่นั้นแหละ) บ่อยครั้งที่ผมต้องติดแหง่กไปไหนไม่ได้ในช่วงที่กำลังจะจบเลเวล เพราะผมไม่สามารถเปิดใช้งานลิฟต์ที่จะนำผมไปยังด่านต่อไปได้นั่นเอง ซึ่งจริงแล้วๆ คุณต้องยืนในระยะและมุมที่ถูกต้องอย่างที่สุดถึงจะเปิดใช้งานได้ นอกจากนี้ความพยายามที่จะทำให้คนธรรมดากลายมาเป็นเหมือนตัวเอกในเรื่อง Die Hard ก็เหลวไม่เป็นท่าเช่นกัน เพราะเพียงคุณเล่นไปแค่ 2 ภารกิจคุณก็จะกลายมาเป็นคนชื่อดังที่ทุกๆ คนในเกมรู้จักไปแล้ว การที่คุณขาดศัตรูคู่อาฆาตก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายความเป็นดราม่าของเกมอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้เกมจบลงแบบจืดสนิท อย่างน้อยก็ไม่มีที่ทางให้สร้างภาคต่อได้อย่างแน่นอน

 

     สำหรับช่วงเวลาอันน่าจดจำซึ่งมีอยู่น้อยนิด (การดวลของพลซุ่มยิงที่ใช้ปืนไรเฟิลติดกล้องเล็งอินฟราเรดและการก่อวินาศกรรมเครื่องบินจำนวนมากที่จอดอยู่ในบอลลูนพิฆาต Zeppelin ลำมหึมา) ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของเกมดีขึ้นแต่อย่างใด นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงมินิเกมทิ้งระเบิดและลูกเล่นกดปุ่มเดียวไต่ขึ้นกำแพงได้ซึ่งต่างไม่สามารถตบแต่งหน้าตาให้เกมดูดีขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน คำมั่นสัญญากองเป็นภูเขาของ Turning Point พังทลายลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี เกมนี้ถือเป็นกรณีศึกษาว่า เกมที่มีเนื้อเรื่องดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้เกมมีชีวิตรอดอยู่ได้ นี่ไม่ใช่เกมคอนโซลที่แปลงมาห่วย ตัวเกมเองนั่นแหละที่ห่วย

 

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ