Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots
ผู้จัดจำหน่าย: Konami
ผู้พัฒนา: Kojima Productions
จำนวนผู้เล่น: 1-16 คน
ESRB: 17 ปีขึ้นไป
PlayStation 3
ข้อดี: ให้ความรู้สึกสดใหม่ไม่แพ้ภาคแรกสุด
ข้อด้อย: ครึ่งหลังของเกมมีคัทซีนเยอะไปหน่อย
La-li-lu-le-lo คืออะไร?!: เตรียมทึ่งกันได้เลย เพราะ MGS4 จะมีการเฉลยเนื้อเรื่องทุกปมทุกพล็อตของตลอดทุกภาคที่ผ่านมา
ทัวร์อำลาวงการของพี่งู
JEREMY: ย้อนไปสมัยตอนที่ผมเล่น Metal Gear ภาคออริจินัลบนเครื่องฟามิคอมนี่ ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยอินกับรูปแบบเกมแนวแอ็กชั่นแฝงกายย่องแอบเท่าไหร่นะครับแต่พอเวลาผ่านไปยิ่งได้เล่นภาคต่อๆ มาผมก็เริ่มค่อยๆ หลงรักไอเดียของเกมที่เน้นไปที่การหลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุดเกมนี้เข้าให้แล้ว ซึ่งผมยังชอบการเล่าเรื่องในสไตล์ล้อการ์ตูน G.I. Joe ของเกมนี้อีกด้วยครับเพราะตัวเกมผสมผสานเรื่องทางทหารและสงครามแบบสมจริงเข้ากับเรื่องของซูเปอร์ทหารในแบบยอดมนุษย์เวอร์ๆ เข้ากันได้อย่างกลมกลืนดีมากๆ ซึ่งก็เป็นเกมที่มีองค์ประกอบที่แปลกแต่ก็ทำให้ผู้เล่นได้เจอกับแง่มุมของเรื่องการแพร่กระจายของการทดลองทางนิวเคลียร์ในทางที่ผิด และในขณะเดียวกันก็ต้องต่อสู้กับตัวร้ายสายลับสามหน้า (ซับซ้อนยิ่งกว่าสายลับสองหน้า) ที่แอบไปปลูกถ่ายยีนจากมือของพี่น้องที่เป็นร่างโคลนเดียวกับพระเอกของเรา แต่ความประหลาดเหล่านี้ก็คือเสน่ห์ของเกมซีรีส์นี้ครับ ซึ่งนั่นก็ทำให้ Metal Gear Solid 4 นี้กลายเป็นภาคที่ถ่ายทอดแนวคิดและพล็อตหลักของเกมนี้ออกมาได้สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว กับเรื่องราวดราม่าที่พลิกแพลงเข้มข้นและเต็มไปด้วยรายละเอียด... และคงไม่มีภาคไหนที่จะผสมเรื่องราวและตัวเกมออกมาได้ขัดแย้งสะเทือนอารมณ์คนเล่นได้เท่าภาคนี้อีกแล้วด้วย
จริงๆ เกมนี้ก็เกือบจะสมบูรณ์แบบอย่างที่สุดแล้วนะครับ โดยครึ่งแรกของ MGS4 นั้นเพอร์เฟ็กต์มากๆ เพราะทีมงานได้ตัดเอาข้อเสียของเกมซีรีส์นี้ที่มักจะบังคับให้เกมเมอร์ต้องนั่งดูคัทซีนนานๆ เกินไปออกไปแล้ว ซึ่งจริงๆ คัทซีนต่างๆ ก็ยังมีอยู่เป็นระยะนะครับในช่วงแรกนี้แต่จะมีขนาดสั้นๆ และเล่าเรื่องอย่างกระชับและน่าสนใจ ยิ่งไปกว่านั้นครับ เหล่าตัวละครทีมผู้ช่วยของลูกพี่ Sold Snake เราก็จะโผล่มากวนใจผ่านเครื่อง Codec (เครื่องมือสื่อสารแบบที่แฟนๆ MGS คุ้นเคย) น้อยลงแล้ว เที่ยวนี้พระเอกเราจะถูกขัดจังหวะเรียกตัวน้อยลงโดยข้อมูลสำคัญอื่นๆ จะถูกถ่ายทอดผ่านคัทซีนและเสียงบรรยายในฉากแทน
สำหรับในส่วนที่เราจะได้ลงมือเล่นเองน่ะเหรอครับ? บอกได้เลยครับว่าเจ๋งมากๆ MGS4 จะให้เราได้รับบทเป็น Snake ที่ต้องไปอยู่ท่ามกลางเขตสมรภูมิในแต่แถบตะวันออกกลางที่ไม่ระบุสถานที่แห่งนึง ซึ่งไม่ใช่ป่า หรือฐานทัพของใครแบบในภาคก่อนๆ แล้ว จากที่ภาคก่อนๆ บรรยากาศหนักไปทางย่องๆ วังเวง ทหารน้อยๆ ก็จะถูกแทนที่ด้วยความโกลาหลอลหม่านแบบโหดๆ ที่ไม่ได้มุ่งมาที่ตัวพระเอกของเราตรงๆ แต่จะเป็นการรบระหว่างทหารสองกลุ่มแทน และในท่ามกลางสมรภูมิดุเดือดแห่งนี้ผู้เล่นยังจะได้รับอิสระในการเล่นเพื่อบรรลุภารกิจอย่างเต็มที่อีกด้วย คือจะหลบย่องแฝงกายไปเรื่อย หรือจะเลือกไปเข้าพวกกับทัพฝ่ายกบฏเพื่อเล่นงานฝ่ายกองทัพอีกฝั่งก็ได้ จะสู้แบบหลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือจะใช้ประโยชน์จากระบบซื้อขาย (ที่มีเป็นครั้งแรกในซีรีส์) เพื่อตุนความหลากหลายของอาวุธทรงประสิทธิภาพก็ได้อีกเช่นกัน หรือจะปลอมตัวเป็นตัวละครอื่นเดินไปมาในฉากหรือเลือกที่จะใช้ระบบชุดอำพรางแบบใหม่ของภาคนี้เพื่อเล่นในแบบย่องแอบเหมือนเมทัลเกียร์เดิมๆ ก็ได้อีก ภาคนี้ต้องถือเป็นประสบการณ์แบบ Metal Gear ที่ร่วมสมัยทั้งจากแนวเกมลอบเร้นที่เป็นจุดขายของซีรีส์นี้มาตลอดและแนวทางการเล่นแบบที่ค่อนข้างเปิดกว้างอิสระที่ค่อนข้างคล้ายๆ กับเกมรุ่นใหม่อย่าง Assassin’s Creed และเมื่อบวกเข้ากับระบบการบังคับในส่วนการต่อสู้ที่ได้รับการปรับปรุงให้ควบคุมง่ายยิ่งขึ้นก็ยิ่งทำให้ภาคนี้กลายเป็นภาคที่ดีที่สุดของซีรีส์นี้อย่างไร้ข้อกังขา
แต่ปัญหาก็คือ โชคร้ายที่ช่วงท้ายของภาคนี้นั้นข้อเสียของภาคเก่าๆ กลับโผล่ขึ้นมาอีก โดยในช่วงเวลาสองวันระหว่างที่ผมเล่นเกมนี้ที่ออฟฟิศของ Konami เพื่อเขียนรีวิวนี้นั้น ก็ทำให้ผมต้องเกิดสงสัยขึ้นมาว่ามีใครแอบมาเปลี่ยนแผ่นเกมก่อนผมเล่นวันที่สองรึเปล่า เพราะครึ่งแรกของ MGS4 ที่แสนจะเร้าใจในการเล่นนั้นพอเข้าครึ่งหลังกลับอ่อนแรงลงไปเหลือแค่การเล่าเรื่องให้คนเล่นนั่งดูนั่งฟังไปเสียเยอะ ซึ่งย้อนไปเมื่อตอนที่ MGS ภาคแรกเปิดตัวขึ้นมาอย่างโด่งดัง ก็ต้องถือว่าฉากคัทซีนของเกมนี้นั้นล้ำสมัยในยุคนั้นมาก ส่วนด้านเกมเพลย์ก็อาจจะดูเป็นแบบเกมแอ็กชั่น 3D ที่ยังมีความตะกุกตะกักในการเล่นอยู่บ้าง มาถึงในภาคสี่นี้ในส่วนของการเล่นต้องบอกว่าทำออกมาได้สดใหม่เข้ายุคสมัย แต่... การเล่าเรื่องนั้นกลับดูตกยุคไปเสีย เพราะครึ่งหลังของ MGS4 นั้นแทบจะมีแต่คัทซีนยาวๆ สลับกับช่วงการเล่นเองแบบสั้นๆ บ้างเป็นระยะ ซึ่งเหล่าสาวกของเกมนี้อาจจะตื่นเต้นไปกับการเปิดเผยปมและจุดพลิกผันต่างๆ ของเรื่องในความเป็นภาคสรุปปิดท้ายนี้ได้อยู่ แต่ในแง่การให้ผู้เล่นได้เล่น ได้มีส่วนร่วมตอบโต้กับเกมนั้นก็ถูกทอนความสำคัญลงไปมาก จริงๆ ในแง่การเล่นในช่วงครึ่งหลังของเกมก็ยังเป็นเกมแนวลอบเร้นที่ทำออกมาได้ไม่เลวนะครับ แต่ยังขาดความยืดหยุ่นที่เร้าใจในแบบช่วงแรกของเกมไปอยู่ดี
ถ้าสรุปสั้นๆ ก็คือ MGS4 นั้นเป๋ไปเล็กน้อยเพราะชื่อเสียงเก่าๆ และเรื่องราวที่รอการคลี่คลายอันเยอะแยะจนเกินไปเหมือนกัน ซึ่งความตั้งใจจะมุ่งสู่บทสรุปนี้ยังส่งผลกับเกมการเล่นอีกด้วย ตัวอย่างที่ชัดมากก็คือ การปะทะกับเหล่าบอสในภาคนี้ ที่บอสแต่ละตัวนั้นถูกตั้งชื่อด้วยการอิงจากทีม Cobra Unit ใน MGS3 และทีม Fox Hound ของ MGS1(เช่น Raging Raven ในภาคนี้ที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึงทั้ง Fury และ Vulcan Raven) แต่การประมือกับเหล่าบอสไซบอร์กสาวในภาคนี้กลับไม่ระทึกขวัญเร้าใจเท่าและดูจะอิงมุกเก่าๆ ของภาคก่อนๆ อยู่เสียด้วย ที่แย่กว่านั้นก็คือ การปะทะกับบอสตัวสุดท้ายของภาคนี้ที่แทบจะเหมือนการโยนระบบเกมเพลย์ที่ทันสมัยของ MGS4 ทิ้งไปเสียหมดแล้วแทนที่ด้วยรูปแบบเหมือนมินิเกมแปลกๆ ที่ยิ่งทำให้ดูจืดไปเลยเมื่อเอาไปเทียบกับการดวลปิดท้ายในภาค MGS3 ที่ดูจะลงตัวเร้าใจกว่า
ผมก็เข้าใจนะ ว่า Metal Gear นั้นมักจะมีการอ้างอิงถึงเรื่องราวของซีรีส์ตัวเองเสมอ จนบางทีเกือบๆ จะเป็นการล้อแซวตัวเองก็มี ซึ่งแม้ว่าผมจะพอใจกับนัยซ่อนเร้นต่างๆ และแฟนเซอร์วิส (ที่ไม่ใช่ในแง่โป๊ๆ) ที่มีใน MGS4 แต่ผมก็ยังอยากให้ซีรีส์นี้ปิดตัวลงด้วยความสดใหม่และน่าประทับใจในแบบเดียวกับที่ภาค MGS1 นั้นเคยสร้างชื่อเลื่องลือมาเมื่อสิบปีก่อนมากกว่า เพราะกลับกลายเป็นว่าภาคปิดท้ายนี้ดูจะเป็นงานไอเดียคมที่คมไม่ทั่วถึงและไอเดียแหวกแนวต่างๆ ก็ดูจะโดนบทบาทและขนาดอันใหญ่โตของเนื้อเรื่องทั้งหมดข่มจนเขวไปไม่น้อยเหมือนกัน แต่ยังไงก็ตาม เกมนี้ก็ยังถือเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเกมนึงอยู่ดี ด้วยเรื่องราวที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนและความเป็นเกมแนวลอบเร้นที่หนุนไว้ด้วยงานทางโปรดักชั่นระดับยิ่งใหญ่ ซึ่งเกมนี้ก็น่าจะเป็นอะไรได้มากกว่าการเป็นแค่เกมเยี่ยมๆ เกมนึงได้อีกนะ ถ้าไม่ติดตรงข้อจำกัดในความสม่ำเสมอต่อเนื่องแบบนี้ ซึ่งก็อย่างที่พี่ Solid Snake เขาชอบบ่นเรื่องการต้องแบกรับชื่อเสียงความคาดหวังต่างๆ ในเกมอยู่บ่อยๆ นั่นแหละครับ คือ... ใครจะไปรู้นะครับ จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ Snake เขาอาจจะบ่นแทนผู้ที่สร้างเขาขึ้นมาอยู่ก็ได้
ANDREW P: มันก็น่าผิดหวังเหมือนกันแต่ก็อาจจะไม่น่าแปลกใจนักนะครับที่ไอเดียในรูปแบบการเล่นที่แปลกใหม่ของ MGS4 นั้นเหือดแห้งไปก่อนเรื่องราวจะสรุปปิดฉากลง โดยเกมในภาคนี้นั้นเริ่มมาด้วยความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ตัว Snake เองที่ประสบกับปัญหาทางกายภาพที่แก่ตัวลงอย่างเร็วเกินวัย การได้ผูกมิตรกับกองทัพฝ่ายต่อต้าน และยังได้ตะลุยไปในหลายๆ ดินแดนทั่วโลกในช่วงสามองค์แรกของเกมอีกด้วย แต่ก็เป็นความเข้มข้นของเนื้อเรื่องและการเข้าสู่บทสรุปต่างๆ ครับที่ทำให้เกมนี้ดูราวกับภาพยนตร์แอ็กชั่นกึ่งเกมเรื่องนึง
โดยครึ่งแรกของเรื่องนั้นจะเน้นไปที่แอ็กชั่นการเล่นที่ดูจะดึงผู้เล่นออกไปจากความเป็นเกม “ย่องเงียบ” แบบภาคก่อนๆ และสำหรับระบบ Debrin Points ที่เสริมเข้ามา (ที่เป็นเหมือนระบบการเงินสำหรับซื้อขายอาวุธในเกมนี้) ก็เป็นเสมือนคลังอาวุธขนาดยักษ์ให้พี่งูของเราได้จับจ่ายใช้สอยได้สะดวกสบาย ซึ่งก็ยิ่งทำให้การเล่นเกมนี้ด้วยสไตล์ลุยโครมครามไปเลยไม่เป็นเรื่องเสียหายอีกต่อไปแล้วด้วย แต่ถ้าแฟนๆ คนไหนยังอยากเล่นในสไตล์ย่องเบาแบบเดิมๆ ก็ยังคงทำได้อีกเช่นกัน แต่จริงๆ เวลาได้เห็นพวกทหารฝ่ายกบฏของภาคนี้ยกพวกลุยก็ยากที่จะอดใจไม่เข้าร่วมตะลุมบอนด้วยเหมือนกันนะครับ จริงๆ แล้วทั้งการเล่นแบบลุยแหลกและแบบย่องเบาต่างก็เวิร์คทั้งสองแนวนะครับ เพราะมุมกล้องแบบมองข้ามไหล่และระบบ Solid Eye ที่เป็นเหมือนไอเทมกล้องสารพัดประโยชน์ของภาคนี้นั้นช่วยให้ผู้เล่นเห็นสภาพสนามรบรอบตัวได้ชัดเจนขึ้นมากๆ ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาเป้าหมายที่จะโจมตีหรือมองหาที่สำหรับซ่อนตัวก็ตาม
แต่ยิ่งเกมดำเนินไปในช่วงหลัง อะไรๆ ก็เหมือนจะอ่อนแรงลงไปตามความแก่ของ Snake ที่ไปเร็วเกินอายุในภาคนี้ เพราะพอช่วงท้ายที่ต้องมีการเปิดเผยคลี่คลายประเด็นคาใจต่างๆ ตลอด 20 ปีของเกมนี้ จังหวะของ MGS4 ก็ตกวูบเพื่อส่งให้กับการเล่าเรื่องไป ซึ่งก็ตามธรรมเนียมของวิดีโอเกมล่ะครับที่เรื่องราวจะถูกเล่าผ่านทางคัทซีนยาวๆ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ MGS4 นั้นให้ความรู้สึกที่เป็นเกมแค่ในช่วงครึ่งแรกและในครึ่งหลังนั้นกลับเป็นเหมือนภาพยนตร์เรื่องนึงไป จริงๆ บทสรุปของตำนานนี้ก็ยังมีช่วงเวลาที่ตื่นตาน่าประทับใจอยู่นะครับ แต่ถ้าเราตัดเอาการปะทะทีมบอสประหลาดๆ (ที่ประหลาดไปสักนิดในภาคนี้) และการเผชิญหน้าในแบบคุ้นๆ เหมือนเคยเจอมาแล้วออกไปละก็ เกมนี้ก็จะกลายเป็นแค่หนังอินเตอร์แอ็กทีฟที่เล่าเรื่องราวสะเทือนใจเรื่องนึงที่ไคลแมกซ์ไม่ค่อยเร้าใจพอไปได้เหมือนกัน
ยังไงก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นบทสรุปที่แฟนๆ น่าจะพึงพอใจกันทุกคนไม่ว่าจะเล่น MGS4 กันแบบไหนก็ตาม เพราะแทบจะทุกๆ คำถามได้รับการแจกแจงอธิบายในภาคนี้ และยังมีเซอร์ไพรส์ในบางช่วงให้แฟนอึ้งตะลึงกันได้อีกด้วย และสำหรับใครที่ยังมองว่าเกมนี้เป็นเหมือน “เรื่องราวของนิยายสงครามแบบเกินจริง” กึ่งๆ ไซไฟอยู่ละก็ คงได้แปลกใจกันล่ะครับที่บทสรุปของซีรีส์นั้นกลับดูสมเหตุสมผลอย่างน่าประหลาด ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องราวที่น่าเก็บไปคิดจริงจังอะไร (อย่างตัวคุณ Hideo Kojima เองก็นิยมสอดแทรกประเด็นหนักๆ และมุกตลกอำตัวเองในจังหวะที่ไม่ค่อยเหมาะบ้างเหมือนกัน) แต่การที่เกมนี้สามารถคงความต่อเนื่องในการเล่าเรื่องราวภายใต้องค์ประกอบอันซับซ้อนมากมายแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ แล้วล่ะครับ
MATT: ก็จริงครับ ที่ MGS4 ดูเป็นหนังมากกว่าเกม ไม่ว่าจะคัทซีนต่างๆ การพูดคุยทาง Codec การอธิบายภารกิจแต่ละครั้ง และเรื่องราวประวัติศาสตร์ในเกม ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้เกมนี้เป็นเหมือนซีรีส์ทางโทรทัศน์ดีๆ ซีซั่นเต็มๆ ซีซั่นนึงได้เลย จะมองว่าเหมือนละคร Soap Opera (แบบละครทีวีหลังข่าวบ้านเรา) ก็ได้อีกเหมือนกันเพราะดูแล้วมีทั้งคำถามแบบ พวกเขาจะนั่นกันไหม? พวกเขาจะโน่นกันรึเปล่าอ่ะ? แล้วใครจะตายเนี่ย!? คือ เหมือนพวกเราก็นั่งดูกันไป จะมีได้ลงมือเล่นเองบ้างก็บางจังหวะที่เกมจัดมาให้
และแม้ว่าทีมงานเขียนบทน่าจะตัดส่วนเยิ่นเย้อของเนื้อเรื่องออกไปบ้าง หรืออย่างน้อยแค่แยกออกจากซีนสำคัญๆ บางฉากก็ยังดีนั้น แต่ผมก็ยังประทับใจกับการเล่าเรื่องราวที่ทำได้ดีมากๆ ของภาคนี้ในแบบที่เรียกว่าถึงคุณจะรู้เกี่ยวกับ Metal Gear น้อยมากก็ยังรู้เรื่องไปด้วยได้ อย่างผมเองที่ก่อนเล่นภาคนี้ก็รู้จักแค่ตัวละครส่วนใหญ่แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดย้อนไปอดีตของเรื่องราวต่างๆ แต่ผมก็ยังสามารถเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคนี้ต่อเนื่องไปได้ตลอด ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้ก็สนุกน่าติดตามมากๆ เพราะทั้งคัทซีนรายละเอียดสูง เสียงพากย์ที่ได้คุณภาพ และการออกแบบฉากต่อสู้ต่างๆ ต่างก็ทำได้เยี่ยมเกินมาตรฐาน Metal Gear กันทั้งสิ้นครับ
แต่คำถามสำคัญที่ผมกังวลก่อนจะได้เล่นเกมนี้ก็คือสิ่งที่ทีมงาน Kojima Production คุยกันไว้ว่านี่จะเป็น MGS ภาคที่บังคับง่ายเป็นมิตรกับผู้เล่นที่สุด เพราะผมเองนั้นปกติจะชอบระบบการบังคับของเกม Splinter Cell มากกว่าเพื่อนมาโดยตลอด ดังนั้นผมจึงแฮปปี้สุดๆ ที่เกมในภาคนี้มีระบบการปรับมุมกล้องเองได้แล้ว และระบบการเล็งยิงด้วยมุมมองข้ามไหล่ก็เวิร์คตามติดมาไม่แพ้กัน และเมื่อบวกระบบพรางตัวด้วยชุดแบบใหม่ที่เปลี่ยนสภาพผิวไปตามผนังหรือกำแพงที่แนบตัวอยู่ และการที่ Snake ยิงปืนได้ในขณะที่ถูกศัตรูต่อยจนล้มหงายอยู่บนพื้น ทั้งหมดนี้ต่างก็ทำให้เกมภาคนี้ดูพลิ้วเนียนและทื่อน้อยลงกว่าภาคเก่าๆ เยอะเลยครับ
จริงๆ ภาคนี้เราก็ยังเห็นข้อเสียประจำเล็กๆ น้อยๆ ของซีรีส์นี้อยู่บ้างนะครับ เช่น การเข้าจับตัวศัตรูจากด้านหลังยังดูเงอะงะอยู่ และแอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวร่างกายบางอย่าง เช่น การหมอบคลาน ก็ยังดูทื่อๆ แข็งๆ (ซึ่งก็ทำให้ผมสงสัยเหมือนกันว่าทำไมทีมงานออกแบบเกมนี้ถึงต้องเอาไอเทมต่างๆ ไปไว้ใต้โต๊ะ บังคับให้เราต้องคลานเข้าไปในระยะแค่ไม่กี่นิ้วแล้วก็คลานถอยออกมาแล้วค่อยยืนขึ้น เรียกว่าเสียจังหวะการเล่นไปเหมือนกัน) แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องนับว่า MGS4 เป็นเกมที่ทำขึ้นเพื่อผู้เล่นอย่างแท้จริงครับ ซึ่งสมัยตอน MGS3 นั้นผมไม่กล้าพูดฟันธงเต็มปากแบบนี้แน่ๆ
ถ้ามองในบางมุม MGS4 ก็เปรียบได้ว่าเป็นเหมือน Resident Evil 4 ของซีรีส์ตัวเองนะครับ จากการที่ตัวเกมตัดเอาความซับซ้อนในการเล่นที่มากเกินไปในภาคก่อนๆ ออกไป และก็เติมคัทซีนจำนวนมากที่เล่าเรื่องราวในเกม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ MGS4 นั้นเป็นการยกเครื่องปรับปรุงครั้งใหญ่โดยไม่สูญเสียทั้งความสนุกและความยิ่งใหญ่ของเนื้อเรื่องระดับตำนานที่เคยสร้างชื่อให้กับตัวเกมมาตลอดไปเลยแม้แต่น้อยครับ
ทาง EGM เราเคยพูดถึง Metal Gear Online กันไปเมื่อฉบับก่อนแล้วนะครับ ซึ่งสถานการณ์ของเกมที่แถมมากับแผ่น MGS4 นี้จนถึงตอนที่ EGM ฉบับนี้วางขายคุณๆ ก็น่าจะได้ลองเล่นกันไปแล้วนะครับ หลังจากที่การเปิดเล่นแบบเบต้านั้นยกเลิกไปนานพอสมควรแล้ว และในระหว่างที่ทีมงานเราไปเยี่ยมทีมงาน Konami เพื่อรีวิวเกมนี้นั้น ทางทีมงาน Konami เองก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรเพิ่มเติมกับเราถึงส่วนออนไลน์นี้เท่าไหร่
เท่าที่เราทราบมาในตอนนั้นก็คือ MGO จะเป็นเกมออนไลน์ที่ต่างไปจากเกมออนไลน์ในแนวมุมมองบุคคลที่หนึ่ง หรือสามเกมไหนๆ ที่เราเคยเล่นมาก่อน เพราะในเกมนี้การวางแผน การสื่อสารระหว่างผู้เล่นจะกลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากๆ รวมไปถึงความเข้าใจและเลือกใช้อาวุธและไอเทมต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของฉากและโหมดการเล่น ทั้งหมดนี้ทำให้ MGO ดูจะเป็นเกมที่เน้นการใช้สมองมากกว่าเกมในแนวเดียวกันอื่นๆ นั่นเอง หรือพูดง่ายๆ ชัดๆ ก็คือ เกมนี้น่ะ น่าลองเล่นดูครับ แต่... คงไม่เหมาะกับทุกคนหรอกนะ