คู่มือนำทางสิบขั้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมอิสระ

แชร์เรื่องนี้:
คู่มือนำทางสิบขั้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมอิสระ

ทุกคนรักเกมอินดี้เพราะมันดูฉลาดลึกล้ำ ท้าทาย ได้รับการรังสรรค์ และปรับแต่งมาอย่างดีราวกับเกมระดับบล็อกบัสเตอร์ทุนหนาของเหล่าผู้ผลิตชั้นนำ และเกมอินดี้บางเกมที่โด่งดังมากพอก็สามารถเป็นตั๋วในการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมให้กับผู้ที่สร้างมันได้ เช่นเดียวกับการนำพามาซึ่งโชคลาภและชื่อเสียง แต่ก่อนนั้น Chris Sawyer สร้างเกม Roller Coaster ขึ้นมาด้วยลำพังตัวคนเดียวและปัจจุบันนี้เขาก็ได้นอนอย่างสบายอยู่บนฟูกนุ่มๆ ที่ยัดแบงค์ 100 ดอลลาร์บดละเอียดเอาไว้จนเต็ม แต่ด้วยอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ก็ทำให้การแจกจ่ายเกมอินดี้สามารถทำได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำลง การจะป่าวประกาศให้คนทั่วไปรู้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และนี่คือเคล็ดลับ 10 ประการในการเจาะเข้าสู่ตลาดเกมอิสระ



1. อย่าทำเพื่อเงิน อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ต้องสาธยายก็ได้เพราะถ้าหากต้องการเงินละก็คุณควรจะไปทำงานธนาคารเสีย จงเริ่มต้นการเป็นนักพัฒนาเกมอิสระเพราะคุณมีเวลาเหลือพอที่จะทำมัน “ในการจะเป็นนักพัฒนาอิสระที่ประสบความสำเร็จ” Georgina Okerson แห่งเว็บไซต์เกมแอนิเมอินดี้ Hanako กล่าว “คุณต้องรักที่จะสร้างเกม ไม่ใช่รักที่จะทำเงิน เพราะในครั้งแรกที่คุณลองพัฒนาอะไรดู คงเป็นไปได้ยากที่คุณจะได้เงิน”

2. ทำความคุ้นเคยกับการใช้เวลานับปี แม้ว่าเกมอิสระนั้นจะไม่ต้องการทุนมหาศาลในการพัฒนา แต่คุณก็ยังต้องการเงินในการใช้ชีวิตตามปกติและยังต้องซื้อโปรแกรมและเครื่องมือในการพัฒนา Chris Delay แห่งค่าย Introversion ทำการพัฒนาเกม Uplink ในระหว่างที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยและเคยพูดว่าการทำมันเป็นงานพาร์ทไทม์นั้นช่วยประหยัดงบประมาณได้ในยามที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ “และเมื่อคุณมีเกมที่ปล่อยออกสู่ตลาดเป็นของคุณเองแล้ว คุณจะมีอำนาจต่อรองในการตกลงเรื่องการแจกจ่ายเกม และที่สำคัญที่สุดคือคุณจะยังได้ควบคุมการพัฒนาเกมของคุณเองด้วย”

3. ความเป็นต้นตำรับไม่จำเป็นเสมอไป เกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดไม่จำเป็นต้องมีความแปลกแหวกแนว การเอาสิ่งซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมาใช้ก็เป็นหนทางหนึ่งที่ได้ผลดี Caspian Prince แห่ง Puppygames กล่าว “เราได้นำเอาแนวคิดเก่าอย่าง Space Invaders มาใช้และเพื่อกฎแบบหลวมๆ ลงไปหลายอย่างเพื่อให้เกมมีความดึงดูดใจมากขึ้น รวมไปถึงเกมการเล่นที่โหดร้ายน้อยลงด้วย”

4. เล่นอย่างจริงจัง แต่ทำงานให้จริงจังยิ่งกว่า ในการทำบริษัทของตัวเองในขณะที่คุณยังเป็นนักพัฒนาอิสระนั้นหมายความว่าชั่วโมงในการทำงานของคุณมีความยืดหยุ่นไม่ตายตัวแต่งานทุกอย่างต้องจัดการให้เสร็จ เพราะเมื่อคุณทำงานของคุณเองแน่นอนว่าคงไม่มีใครมาคอยทวงงาน “บ่อยครั้งที่เรารู้สึกเครียดเมื่อใกล้ถึงเส้นตายที่สำคัญๆ” Chris Delay บอกกับเรา “เราเป็นเจ้านายของเราเองดังนั้นเราจึงไม่มีเวลาทำงานตายตัว แต่ในช่วงปีหลังๆ มานี้พวกเราหลายเป็นคนบ้างาน (Workaholic) ขั้นรุนแรงเลยทีเดียว”



5. แบ่งปันความรัก แบ่งปันภาระ เมื่อธุรกิจเริ่มออกตัว มันเป็นเรื่องฉลาดมากที่จะจ้างคนเข้ามาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและผลประโยชน์ คนที่มีความรู้ความสามารถเป็นอะไรที่เยี่ยมแต่บางครั้งคนที่รักในสิ่งที่คุณกำลังทำนั้นดีที่สุดและนั่นคือแฟนเกม ทีมงานส่วนหนึ่งของ Introversion ถูกเรียกตัวเข้ามาทำงานจากคอมมิวนิตี้ของ Uplink โดยตรง “แล้วเราก็ยังพึ่งพาสมาชิกหัวแถวของคอมมิวนิตี้หลายคนเพื่อคอยดูแลกระดานสนทนาและเว็บไซต์ และเรามักจะใช้เวลาหลายเดือนเพื่อทดสอบเวอร์ชั่นเบต้ากับกลุ่มแฟนเกมของเราโดยตรง” Delay กล่าว

6. ป่าวประกาศไปให้ทั่ว งานของคุณนั้นยังไม่จบสิ้นลงง่ายๆ แม้ว่าการเขียนโค้ดของเกมจะเสร็จแล้วก็ตาม ในตอนนี้คุณต้องประกาศออกไปให้ผู้คนรู้ การโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดและเป็นส่วนที่แพงที่สุด Vic Davis แห่ง Cryptic Comet ได้ให้นิยามแห่งความคุ้มค่าว่า “ประสบการณ์ที่ผมได้รับคือความรู้สึกหล่นวูบแบบเดียวกับเวลาที่คุณหยอดเหรียญใส่เครื่องสลอตแมชชีนไปแล้ว” ในตอนเริ่มต้นนั้นมันจะได้มากกว่าหากคุณจะทำการวิจัยกลุ่มเป้าหมายและสร้างความคาดหวังจากตัวเกมด้วยเครือข่ายระดับคลาสสิกอย่างการบอกแบบปากต่อปาก “ในทุกๆ วัน ให้ส่งอีเมล์ไปหาเหล่านักรีวิวที่มีศักยภาพ นักเขียนบล็อกรวมไปถึงนักแสดงความคิดเห็นทั้งหลาย ขอให้พวกเขาเข้ามาดูเกมของคุณ”

7. เตรียมทำศึกระยะยาว “มันมีโอกาสอย่างมากที่คุณจะได้ทำงานส่วนเล็กๆ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นแค่ส่วนเล็กน้อยจากงานมากมายที่มีอยู่จริงๆ ” Vic กล่าวเตือนโดยอ้างอิงถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งการขายสินค้าซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันเป็นปริมาณมากๆ แทนที่จะเสี่ยงกับการผลิตสินค้าเพียงไม่กี่อย่างแล้วหวังจะให้หนึ่งในนั้นเกิดขายดีราวกับเทน้ำเทท่า และงานที่คุณกำลังทำก็เป็นหนึ่งในสินค้าจำนวนมากที่ว่า ดังนั้นให้คุณหวังว่าจะได้เงินปริมาณน้อยในระยะยาวและมันจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ตามระยะเวลา “ให้คิดว่ามันเหมือนกับการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น” และให้เตือนตัวเองไว้ว่าเงินที่ได้มาอาจจะไม่ได้เข้ากระเป๋าของคุณเสมอไป ค่าพื้นที่เว็บ ค่าโฆษณา และภาษีจะเพิ่มขึ้นตามเวลาด้วยเช่นกัน “สมมุติว่าคุณขายเกมที่ราคา 10 เหรียญ ให้หวังได้เลยว่ามันจะเหลืออยู่แค่ 2.5 เหรียญ” Cliff Harris แห่ง Positech Games กล่าว


8. ทำใจกับการละเมิดลิขสิทธิ์ “เมื่อคุณเริ่มขายเกม คุณจะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่ละเมิดลิขสิทธิ์เกมของคุณ” Harris กล่าว “มันคุ้มค่าที่จะใช้มาตรการบางอย่างเพื่อกันการละเมิดแบบทั่วๆ ไป คุณอาจจะเริ่มด้วยการใช้โปรแกรมป้องกัน ซึ่งโดยปกติแล้วก็ใช้ได้ดีตราบเท่าที่คุณไม่ได้หมดเงินไปกับมัน” การออกเวอร์ชั่นเล่นฟรีอย่างเช่นเดโมนั้นเป็นอะไรที่สร้างกระแสตอบรับได้อย่างดีเยี่ยม แต่ที่น่าเศร้าก็คือการออกเดโมก็เป็นการเตรียมพร้อมเหล่านักละเมิดทั้งหลายหรืออาจจะถูกละเมิดจากเดโมเลยก็ได้ แต่ในทางกลับกันการไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่ได้รับความสนใจนั้นเป็นศัตรูที่ร้ายกาจสำหรับนักพัฒนาที่กำลังบ่มเพาะตัวเองยิ่งกว่าการละเมิดลิขสิทธิ์เสียอีก

9. กวาดบั๊กให้เกลี้ยง การกำจัดบั๊กออกไปจากเกมของคุณนั้นเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดราวกับโดนตอกด้วยลิ่มเลยทีเดียวแต่เราก็ต้องทำมัน Chris Delay กล่าว “ถ้าเกมของคุณยังคงขายได้ตลอดระยะเวลาสามปีแต่ก็ยังมีคนพบบั๊กอยู่อีก คุณก็คงเป็นคนน่าสงสารที่จะต้องกลับไปตรวจดูโค้ดของตัวเองอีกครั้ง ดังนั้นถ้าจะแก้ไขก็ควรทำให้มันเรียบร้อยในทีเดียว” กฎของเมอร์ฟี่สำหรับวงการ IT บอกว่าบั๊กนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะบนระบบที่คุณไม่สามารถเข้าถึงได้เท่านั้น “ดังนั้นให้ลองเล่นเกมของคุณบนเครื่องพีซีของคนรู้จักให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
 

10. อย่าหมดกำลังใจ คนบางคนสามารถพบทองคำได้ด้วยการลงมือขุดเพียงครั้งเดียว ฟังดูเป็นการเปรียบเปรยที่แย่ไปหน่อย แต่คุณคงเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร Georgina Okerson เคยต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของสามีเพราะไม่มีเงิน แต่เธอก็ยังคิดว่าเธอเป็นหนึ่งในคนที่โชคดี “คนหลายคนไม่เคยทำเงินจากเกมเหล่านี้ได้มากพอที่จะใช้ชีวิตตามปกติ แต่พวกเขาก็ยังคงทำต่อไปเพราะพวกเขารักที่จะสร้างเกม” อย่างน้อยก็เท่าๆ กับที่เรารักที่จะเล่นมัน

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ