GALACTIC CIVILIZATION 2: TWILIGHT OF THE ANOR
เมื่อจักรวาลจะกว้างขวางกว่าที่เคย ในภาคเสริมตัวที่สองสุดแกร่งเสริมแรงให้กับสุดยอด Turn-Based Strategy แห่งปี 2006
 | นี่คือ ‘ดาวมหาประลัย’ สุดยอดอาวุธที่สามารถป่นได้แม้แต่ดวงอาทิตย์แห่งระบบดาว (โปรดสังเกตความต่างทางขนาด) | |
จะว่าไปแล้วมันไม่ได้มีให้เห็นกันได้บ่อยๆ กับค่ายพัฒนาเกมที่จะใส่ใจต่อยอดให้กับชิ้นงานที่ออกวางจำหน่ายไปแล้ว อย่างมากเท่าที่เห็นก็จะเป็นแค่แพตช์แก้ไขจุดเสียยิบย่อย ยิ่งกับระยะเวลาสองปีที่ผ่านไปนั้น แทบไม่ต้องพูดถึง หากแต่ทาง Stardock ผู้พัฒนาสุดยอดเกม Turn-Based Strategy ประจำปี 2006 อย่าง Galactic Civilization 2 กลับเลือกที่จะใช้เวลาดังกล่าว รวบรวมเสียงตอบรับในกระดานสนทนา คัดสรรความต้องการ และกลั่นมันออกมาอย่างสุดฝีมือ ให้โดนใจเหล่าแฟนๆ ผู้ติดตามอย่างใกล้ชิดจนออกมาเป็น Galciv2: Dark Avatar ภาคเสริมตัวแรก ที่ยกระดับเกมการเล่นเดิมให้แน่นปึ้กเป็นที่โดนใจไปตามๆ กัน แต่ช้าก่อน ถ้าคิดว่า Stardock จะจบเพียงแค่นั้น คงต้องคิดกันใหม่ เมื่อจักรวาลจะกว้างและยิ่งใหญ่กว่าที่เคย ด้วยภาคเสริมตัวที่สองอย่าง Galciv 2: Twilight of the Arnor
 | ใส่อุปกรณ์เสริมในหน้าจอสร้างยานให้มัน มากขึ้น มากขึ้น เพื่อให้ยานที่ออกมายิ่งใหญ่ สมกับอาณาจักรอันเกรียงไกรของคุณ | |
สำหรับ Galciv 2: Twilight of the Arnor จะมีอัดฉีดเกมการเล่นแบบยกเซ็ต เริ่มกันตั้งแต่รูปแบบการเล่นหลัก ที่จากเดิมเผ่าพันธุ์ต่างๆ จะมีสายเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกัน (แม้จะมีความต่างใน ‘ความสามารถพิเศษ’ ดังเช่นในภาค Dark Avatar) และไม่เกิดความหลากหลายเท่าที่ควร ในภาคนี้ แต่ละเผ่าพันธุ์จะมีสายเทคโนโลยีที่แตกต่างกันออกไปเป็นลักษณะเฉพาะ ทั้งเทคโนโลยียานรบ การตั้งถิ่นฐานดาว สถานีอวกาศ และอื่นๆ ช่วยให้การตัดสินใจเลือกพัฒนาสายเทคโนโลยีหนึ่งๆ ต้องใช้การตัดสินใจที่เข้มงวด และรอบคอบพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น (ไม่สามารถปูพรมถล่มค้นคว้าดะได้อีกต่อไป) เช่น ถ้าเผ่าพันธุ์ทรราช Drengin ผู้ชั่วร้าย ค้นคว้าเทคโนโลยี Compulsory Labor อันเป็นเทคโนโลยีเฉพาะ พวกเขาจะสามารถสร้างเขตกักกันทาสเพื่อเพิ่มประสิทธิผลให้การผลิตของดาว แต่ถ้าเกิดดาวนั้นถูกยึดครองโดยฝ่ายอื่นล่ะ? แน่นอนว่าเขตกักกันทาสนั้นจะยังไม่หายไปไหน แต่จะส่งผลต่อ ‘Mega-Event’ อันเป็นเหตุการณ์สุ่มที่จะยังผลดีหรือเสียให้กับฝ่ายต่างๆ สำหรับเหตุการณ์นี้ ฝ่ายยึดครองจะต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร จะเก็บทาสไว้ใช้แรงงาน หรือจะปล่อยทาสเป็นอิสระเพื่อซื้อใจ? ทั้งหมด ส่งผลต่อการเล่นโดยภาพรวมของเกมได้อย่างลงตัว
อย่างไรก็ดี ที่กล่าวมาเป็นเพียงจานรองเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เพราะในภาคนี้ โปรดระวังให้ดี….Death Star กำลังจะมา! ใช่แล้วครับ ใน Twilight of the Arnor ผู้เล่นสามารถสร้างดาวมหาประลัยขนาดยักษ์ ติดอุปกรณ์ทรงพลัง และร้ายกาจพอที่จะป่นระบบดาวให้สลายเป็นฝุ่นอวกาศได้สบายๆ ยังไม่นับรวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งติดตั้งบนยานอวกาศแต่ละชนิดที่เพิ่มเข้ามา อย่างเช่น Atlas ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเสียหายในการเล็งยิงของยานในกองรบอีก 10% ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่แฟนๆ ของซีรีส์ต่างเรียกร้อง และทาง Stardock เองก็ไม่อิดออดที่จะกำนัลเหล่าแฟนๆ ในสิ่งที่พวกเขาต้องการกันอย่างเต็มสูบ
 | สายเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์และหลากหลายคือจุดเด่นของเกมในซีรีส์นี้ | |
ท้ายที่สุด ถ้าวัดจากมาตรฐานการทำเกมของ Stardock กับรูปแบบที่เป็นในปัจจุบัน มันอาจจะพูดได้ว่าพวกเขาทำเกมเอามันมากกว่าเอาเงิน แต่ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่พวกเรานักเล่นเกมจะได้รับนั้น ก็นับว่ามากจนเกินคุ้ม และเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีว่าเกมแนว Turn-Based Strategy ยังมีผู้ที่ให้ความใส่ใจและน่าจะมีอนาคตที่สดใสพอสมควร ซึ่งในขณะที่ทุกท่านกำลังอ่านบทความชิ้นนี้ ตัวเกมน่าจะได้กำหนดลงแผงแล้วเป็นที่เรียบร้อย และเราจะกลับมาพร้อมบทวิจารณ์เต็มๆ ของมันกันอีกครั้ง โปรดติดตามกันให้ดีๆ นะครับ
+ยกเครื่องเกมการเล่นใหม่หมด เพิ่มจำนวนยูนิตและเทคโนโลยีอย่างเต็มสูบไม่มีหมกเม็ดตามเสียงเรียกร้องของแฟนๆ
-โหมดเล่นเดี่ยว, ระบบการทูต และการจารกรรมยังคงต้องรอติดตามต่อไป, เอนจิ้นกราฟิกดูเก่าเก็บ, ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับโหมดผู้เล่นหลายคน (และคิดว่าไม่น่าจะมี)