วันนี้ซีรีส์ The Last of Us ซีซั่น 2 ก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้วครับ โดยในตอนนี้ถือเป็นการปิดฉากเนื้อเรื่องฝั่งเอลลี่ที่ผจญภัยในซีแอตเทิลไปเรียบร้อย ซึ่งซีซั่น 3 ที่กำลังถ่ายทำกันอยู่นี้ก็พอคาดเดาได้เลยว่าจะเป็นเนื้อหาของแอ็บบี้กันเต็ม ๆ แต่ก่อนที่เราจะได้ชมซีซั่น 3 ที่ไม่รู้ว่าจะได้ฉายเมื่อไหร่ เรามาชมจุดสังเกตที่น่าพูดถึงใน EP สุดท้ายของซีซั่น 2 กันครับว่ามีอะไรบ้าง
***บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาเกม The Last of Us Part 2 และซีรีส์ The Last of Us ซีซั่น 2 ตอนที่ 7***
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
- ช่วงที่เอลลี่กับเจสซี่เริ่มออกเดินทางไปหาทอมมี่ที่จุดนัดพบ ระหว่างทางทั้งคู่ได้เจอกับกลุ่ม WLF ที่ไล่ต้อนเด็กวัยรุ่นจากเซราไฟต์กระทั่งจนมุม และเตรียมลากไปทรมานหรือฆ่าทิ้ง ซึ่งเอลลี่ที่เห็นเหตุการณ์ก็ทนไม่ได้และพยายามจะออกไปช่วย แต่ถูกเจสซี่ห้ามเอาไว้พร้อมกับเตือนสติว่าเด็กคนนั้นก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่จับคนไปคว้านท้อง มีความโหดเหี้ยมป่าเถื่อนไม่แพ้กลุ่ม WLF ทางที่ดีจึงไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของสองกลุ่มนั้นจะดีกว่า โดยเอลลี่ได้เก็บความไม่พอใจนี้ไว้ เพราะมองว่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็ควรจะไปช่วยคนที่เดือดร้อนมากกว่า (ฉากนี้ไม่มีในเวอร์ชั่นเกม)

- ต่อมาเป็นฉากสนทนาระหว่างเอลลี่กับเจสซี่ในร้านขายหนังสือ โดยเจสซี่เล่าถึงอดีตที่ตนเองเคยเจอกลุ่มคาราวานที่เดินทางมาแวะพักที่แจ็คสัน ซึ่งเจสซี่ได้ชอบพอกับหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในคาราวานนั้น (ก่อนที่จะมาคบกับดีน่า) ทว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้ถูกสานต่อ เพราะเจสซี่รู้สึกว่าตนเองทิ้งเมืองแจ็คสันที่ชุบเลี้ยงเขามาไปไม่ได้ และตนเองต้องนึกถึงส่วนรวมมาก่อน อีกทั้งเจสซี่รู้ว่าผู้คนในเมืองแจ็คสันตั้งความหวังว่าเขาจะมาเป็นผู้นำของเมืองในวันข้างหน้าด้วย ดังนั้นเขาเลยต้องนึกถึงแจ็คสันมาเป็นอันดับหนึ่งนั่นเอง

- บทสนทนาจากข้อที่แล้ว มาตอกย้ำตัวตนและความคิดของเจสซี่ให้ชัดขึ้นในบทสนทนาต่อมาที่เอลลี่กับเจสซี่เริ่มไม่ลงรอยกัน โดยเจสซี่ต้องการที่จะไปช่วยทอมมี่ที่น่าจะยิงปะทะกับกลุ่ม WLF อยู่ ขณะที่เอลลี่นั้นมุ่งแต่คิดเรื่องแก้แค้นให้โจล และจะไปตามล่าแอ็บบี้เท่านั้น จนในที่สุดเจสซี่ก็เฉลยว่าตนเองเป็นหนึ่งในคนที่โหวต "ไม่เห็นด้วย" กับภารกิจเกณฑ์คนในแจ็คสันไปยังซีแอตเทิล เนื่องจากเจสซี่มองว่าการแก้แค้นให้โจลเป็นความต้องการของเอลลี่ที่ไม่คิดถึงส่วนรวม และเมืองแจ็คสันเองก็กำลังอยู่ในสถานะต้องเร่งฟื้นฟูอย่างหนัก หลังจากที่เจอผู้ติดเชื้อบุกถล่ม ซึ่งเจสซี่เองเลือกที่จะช่วยทอมมี่ก่อนเพราะนั่นคือคนในครอบครัว คนในเมืองเดียวกัน เป็นการแสดงวุฒิภาวะที่ทำอะไรต้องคิดถึงส่วนรวมก่อนเสมอ

- ความรั้นของเอลลี่เริ่มส่งสัญญาณเตือนในตอนที่นางจะนั่งเรือไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (ที่คาดว่าเป็นที่กบดานของแอ็บบี้) แล้วดันเจอคลื่นยักษ์ซัดจนไปเกยหาดที่มีกลุ่มเซราไฟต์ลาดตระเวนอยู่ เคราะห์ดีที่กลุ่ม WLF บุกเกาะของเซราไฟต์จนมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ทำให้พวกเซราไฟต์ที่จับเอลลี่มาต้องเบนความสนใจไปช่วยคนที่เกาะก่อน เอลลี่เลยรอดมาได้แบบหวุดหวิด ถ้าสังเกตฉากนี้ให้ดีจะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับฉากที่แอ็บบี้เกือบถูกคว้านท้องในเวอร์ชั่นเกมเลยครับ

- ฉากที่เอลลี่พบกับโอเว่นและเมลในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมีความแตกต่างกับเวอร์ชั่นเกมพอสมควร โดยในเวอร์ชั่นเกม เอลลี่จะสั่งให้เมลมามาร์คตำแหน่งที่แอ็บบี้อยู่บนแผนที่ให้ แล้วโอเว่นจะฉวยโอกาสเข้ามาแย่งปืนแต่ถูกเอลลี่ยิงใส่ และตามไปแทงคอเมลซ้ำ ส่วนในเวอร์ชั่นซีรีส์ โอเว่นจะหยิบปืนมายิงใส่เอลลี่ แต่เอลลี่ไหวตัวทันและยิงใส่โอเว่นตายก่อน ซึ่งกระสุนที่ยิงโอเว่นได้ทะลุไปผ่านคอของเมลทำให้นางร่วงไปด้วย ก่อนเมลจะสิ้นใจได้ขอให้เอลลี่ผ่าท้องเพื่อเอาลูกของเธอออกมา ทว่าเอลลี่ที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยได้แต่ปล่อยให้เมลขาดใจตายพร้อมลูกในท้องไป กลายเป็นการสร้างบาดแผลในใจให้กับเอลลี่อีกครั้งที่เผลอฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปหนึ่งชีวิต


- ช่วงท้ายที่แอ็บบี้แกะรอยมาถึงโรงละครที่เอลลี่หลบซ่อนตัวอยู่ เดิมทีในเวอร์ชั่นเกมแอ็บบี้จะตามรอยมาได้จากแผนที่ที่เอลลี่ทำหล่นไว้ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ในเวอร์ชั่นซีรีส์เราอาจจะไปรู้ความจริงตรงนี้ในซีซั่น 3 และที่สำคัญคือ แอ็บบี้บุกมาคนเดียว ไม่มีเลฟตามมาด้วย ตรงนี้ก็ยังเป็นปริศนาว่าเลฟถูกตัดบทออกไปในเวอร์ชั่นซีรีส์หรือไม่ อยากให้ถึงวันฉายซีซั่น 3 เร็ว ๆ แล้วสิ

- สนามอเมริกันฟุตบอลในซีแอตเทิลที่กลุ่ม WLF ใช้เป็นฐานทัพ ได้แรงบันดาลใจมาจากสนาม Lumen Field ที่เป็นสนามเหย้าของทีมซีแอตเทิล ซีฮอว์คส์ (ทีมอเมริกันฟุตบอลจากลีก NFL) และทีมซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ส (ทีมฟุตบอลจากลีก MLS) ซึ่งสนาม Lumen Field เคยถูกบันทึกสถิติลงกินเนส เวิลด์ เรคคอร์ด ว่าเป็นสนามประเภทกลางแจ้งที่มีเสียงเชียร์จากแฟน ๆ ดังที่สุดในโลก โดยวัดได้ถึง 136.6 เดซิเบลเลยทีเดียว

