แม้จะดูมาทุกภาคแต่ส่วนตัวแล้วตัวเองเพิ่งจะมารู้ตัวว่าชอบ Mission: Impossible มากๆ หลังจากดูภาค Rogue Nation จบครับ ซึ่งภาคนี้เองก็เป็นภาคแรกที่ผู้กำกับอย่าง Christopher McQuarrie ได้เข้ามากำกับเป็นภาคแรก และหลังจากนั้นทั้งตัวแกเองกับ Tom Cruise ก็จับมือกันกำกับและนำแสดง M: I มาทุกภาค
กระทั่งมาถึงภาคนี้ The Final Reckoning ที่ก่อนดูผมมีความรู้สึกปนเปกันหลายอย่าง เรื่องต้องการรับชมมันเป็นอะไรที่แน่นอนอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นตัวหนังซึ่งน่าจะเป็นภาคจบ Saga ของ McQuarrie ก็ไม่มีตัวละครที่ผมชอบที่สุดอย่าง Ilsa และอาจรวมไปถึง White Widow มาปรากฎตัวให้เห็น อันเป็นเรื่องชวนใจหายและน่าเสียดายไม่น้อย
แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในหลายๆ แง่มุม แต่มันก็ส่งผลให้ตัวละคร Grace ที่เป็นนางเอกใหม่ไม่ได้มีเวลาสร้างเคมีกับตัวของ Ethan ขนาดนั้น การเข้าพระเข้านางของทั้งคู่เลยอาจจะยังดูไม่ได้อินเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะเป็นเรื่องยิบย่อยไปเลย เมื่อเทียบกับสเกลภารกิจขนาดมหึมาที่อีธานต้องเผชิญ เพราะเรียนตามตรงว่าหากอีธานต้องเจออะไรที่ใหญ่กว่านี้ มันก็คงต้องเป็นภัยจากนอกโลกแล้วล่ะ
The Final Reckoning ดำเนินเรื่องต่อจากภาคที่แล้วอย่าง Dead Reckoning แม้ตัว Ethan จะได้กุญแจมาไว้กับตัวทุกดอกแล้ว แต่ตัวเขายังคงไม่ใกล้เคียงกับการหยุดยั้ง “The Entity” AI สุดโหดที่พร้อมล้างโลกเหลือแค่รอเวลา ตัวเขาจึงต้องทำทุกวิถีทาง คิดทุกอย่างที่พอจะนึกออก เพื่อให้เหนือล้ำกว่า AI ให้ได้ โดยที่การออกปฏิบัติคราวนี้คือนิยามของคำว่า “ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” อย่างแท้จริง
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าภาคนี้มีการเล่นกับ “ความเชื่อใจ” เข้ามาเกี่ยว มันไม่ใช่ของเพียงทีมเชื่อใจเขา มันยังมีเรื่องของเขาเชื่อใจทีม ทีมเชื่อใจคนแปลกหน้า คนแปลกหน้าเชื่อใจคำสั่งที่ดูไม่เมคเซนส์ หรือประธานาธิบดีที่ต้องเชื่อใจความไม่เมคเซนส์ของ Ethan เอง เพื่อให้ศัตรูที่คิดด้วยตรรกะและเหตุผลเดาทางไม่ออก
ดังนั้นแล้วแม้ Ethan จะเป็นสุดยอดสายลับด้นสดเก่งขนาดไหน ในคราวนี้แค่ความสามารถของเขาเพียงคนเดียวไม่พอ และมันต้องพึ่งทั้งองคาภยพที่ต้องเค้นตัวเองในการทำงานเกินขีดจำกัดและต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน ว่าแต่ละฝ่ายจะไม่มีใครพลาดหรือตัดสินใจผิดไป เพื่อผลลัพท์เพียงหนึ่งเดียว
และแม้ในหลายๆ ซีเควนซ์ผู้ชมอาจจะพอเดาผลลัพท์ล่วงหน้าได้ แต่ถึงเป็นอย่างนั้น เราก็ยังคงลุ้นไปกับ Ethan อยู่ดี ด้วยรูปแบบการเล่า การถ่ายทำ รวมไปถึงการลำดับภาพ ร้อยเรียงซีเควนซ์ที่ไม่เคยเป็นไปตามแผน ให้ตัวเอกต้องใช้ไหวพริบด้นสดอยู่เสมอ โดยเฉพาะฉากเรือดำน้ำที่เห็นในตัวอย่างแล้วอาจไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่ในหนังจริงคือประสบการณ์การลุ้นระทึกระดับแทบจะหายใจไม่ออกไปด้วย มันอึดอัด ใจเต้นแรง บางคนถึงกับเหงื่อออกมือก็มี
เหล่านี้คือความเจ๋งของตัวภาพยนตร์ที่สามารถถ่ายทอดความระทึกออกมาได้อย่างสุดตัว ยังไม่นับฉากเครื่องบินผาดโผนอันเป็นช็อตขายของภาคนี้ก็ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องไม่ต่างกัน แม้ส่วนตัวจะรู้สึกว่าฉากนี้มันนานจนยืดเกินไปสักนิด แต่ก็อยากจะก้มหัวซูฮกให้เฮียแกจริงๆ ที่รังสรรค์ช็อตมหัศจรรย์แบบนี้ออกมาได้
จุดอ่อนของหนังที่หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบนักก็คือ การลดแอคชั่นแบบฉับไว หรือการต่อยตีแบบถึงเนื้อถึงตัวลงไปจนคนที่ชอบฉากสู้แบบ Close Combat อาจรู้สึกว่าไม่จุใจนัก รวมไปถึงช่วงชั่วโมงแรกที่หนังประเคนข้อมูลอัดใส่คนดูแบบจุกๆ มีทั้งรีแคป 7 ภาคที่ผ่านมา ทั้งบรีฟเป้าหมายที่ทีมของ Ethan ต้องทำ แฟลชแบ็คกันรัวๆ ชนิดกลัวจำไม่ได้ จนกลายเป็นการรียูสซีนเนียนๆ ในบางจุดไป ขณะที่ตัวโกงอีกคนอย่าง Gabriel ก็อาจไม่ได้แพรวพราวเท่าภาคก่อนมากนัก เหลี่ยมน้อยลงไปเยอะพอสมควร
แต่ก็อย่างที่หลายๆ คนบอกครับ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เครื่องติดแล้วหนังก็พา Ethan ลุยแบบไม่พักไม่ผ่อนจนคนดูทั้งลุ้นทั้งเหนื่อยแบบเรียลไทม์ตามพี่แกไปเลย เป็นประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่ยากจริงๆ ในการหาใครทำได้แบบนี้อีก และแน่นอนว่าศักยภาพของจอ IMAX ช่วยให้ประสบการณ์สุดระทึกนี้เฉียดเข้าใกล้ความคลั่งขึ้นอีกระดับ ด้วยงานภาพที่เต็มตาและระบบเสียงไร้เทียมทาน เป็นรูปแบบการชม Mission: Impossible – The Final Reckoning ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องดีเบตกันให้มากความ ถึงแม้สุดท้ายแล้วผมอาจจะยังไม่ได้ชอบภาคนี้ที่สุด แต่มันก็ยังเป็นภาคที่ควรค่าต่อการยกย่อง และถ้าหาก Tom Cruise จะปิดตำนาน M:I ไปด้วยภาคนี้ มันก็สมศักดิ์ศรีอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ครับ (แต่ทำต่ออีกก็ยังได้นะไม่ว่ากัน)
Mission: Impossible – The Final Reckoning เข้าฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ครับ
VERDICT
8/10
ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชม
ติดตามข่าวหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station