รีวิว Gundam Seed Freedom – มหกรรมแฟนเซอร์วิสเพื่อชาว Seed!

ตอนที่ออกจากโรงมาผมรู้สึกทันทีว่าไม่ได้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้มานานมากแล้ว อาจจะแปลกไปหน่อยกับการพูดถึงการ์ตูนที่มีหน้าฉากเป็นสงครามหุ่นยนต์แบบนี้ แต่พอนึกย้อนกลับไปถึงอารมณ์ร่วมหลายๆ อย่างระหว่างรับชม เสียงโห่ฮาขำขันจากผู้ชมรอบด้านที่เก็ตในสิ่งเดียวกัน รวมไปถึงการปรบมือกึกก้องหลังจากเครดิตขึ้น ผมก็แน่แก่ใจว่าที่เราสนุกและหัวเราะเฮฮากับมันไปได้แบบนี้ ก็เพราะเราคล้ายว่าได้พบเจอวัยเด็กที่พ้นผ่านมานมนานแล้วอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ตัวเรื่อง Gundam Seed Freedom จะเต็มไปด้วยบาดแผลโดยเฉพาะการเล่าเรื่องและจังหวะที่ไม่สมดุลย์นัก แต่แค่ได้เห็นเหล่าตัวละครที่เคยผูกพันธ์จากเวอร์ชั่นทีวีซีรีส์ 2 ภาคร่วมร้อยกว่าตอน กลับมาทำอะไรแบบเดิมๆ ที่เราเคยคุ้นตาและเอาใจช่วยอีกครั้ง มันก็สุขใจมากๆ แล้ว

Gundam Seed Freedom จะเล่าเรื่องต่อจากเหตุการณ์ในภาค Seed Destiny ในช่วง 1 ปีต่อมาเมื่อสงครามยังคงดำเนินต่อไป โดยที่มีองค์กร Compass ของลัคส์และพวกคิระคอยสอดส่องและแทรกแซงสงครามอยู่เนืองๆ ทว่าแม้องค์กรจะดำเนินการมาได้เรื่อยๆ ทว่าภัยร้ายที่จ้องจะเล่นพวกเขาก็รอคอยอยู่อย่างใจเย็น อันจะนำมาซึ่งสงครามและการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่อาจประเมินค่าได้

Gundam Seed Freedom

ว่ากันตรงๆ ช่วงเปิดเรื่องมา หากคุณไม่ได้ดูอนิเมะต้นฉบับทบทวนมา ก็อาจประสบปัญหาในด้านการเรียบเรียงข้อมูลอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะเนื้อเรื่องจะเร่งประเคนข้อมูลสถานการณ์ฝักฝ่ายต่างๆ ใส่ผู้ชมแบบไม่ยั้ง และแม้แต่ตัวละครบางตัวก็ยังเหมือนพูดเร็วกว่าปกติราวกับกลัวว่าจะหมดเวลาก่อนยังไงยังงั้น ดังนั้นผู้ชมอาจต้องตั้งรับกับมันดีๆ สักหน่อย แล้วความเร่งนั้นมันจะค่อยๆ คลายลง เมื่อเริ่มเปิดตัวตัวละครกลุ่มใหม่ ซึ่งอาจต้องให้ผู้ชมรู้จักกันสักหน่อยก่อนเลยผ่อนความเร็วลงบ้าง แต่ในภาพรวมทั้งเรื่อง ผมก็ยังรู้สึกว่าเรื่องไปไวมากๆ อยู่ดี นับรวมไปถึงการคัตตัดฉากที่ก็ว่องไวไม่แพ้กัน ทำให้แม้ตัวภาพยนตร์จะยาวถึง 2 ชั่วโมงก็ยังรู้สึกว่าจบไวมากๆ และอันที่จริงแล้วหากไม่นับพวกชุดข้อมูลหรือชื่อเฉพาะต่างๆ ตัวเนื้อเรื่องหลักมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนสักเท่าไหร่

Gundam Seed Freedom

เอาตรงๆ คือเหมือนเดิม มาสูตรเดิมๆ กับภาคทีวีซีรีส์เลย แต่เพราะแบบนั้นมันจึงยิ่งตอกย้ำกับเมสเสจที่ถูกตั้งคำถามขึ้นมาในเรื่องว่า “ต้องต่อสู้กันอีกเท่าไหร่ถึงจะเปลี่ยนแปลงกันได้ ทำไมสู้มาตั้งขนาดนี้มันถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย?” ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่มันกลับไม่ได้ถูกให้ค่ามากนัก เพราะ Gundam Seed Freedom ชูเรื่องความรัก และความเชื่อใจกันของคู่พระนางอย่างคิระกับลัคส์เป็นประเด็นหลัก จนแทบจะบอกได้ว่าซีเควนซ์ทั้งเรื่องมันคือบททดสอบความรักของทั้งคู่ก็คงไม่ผิดนัก และคำถามที่ถูกตั้งมาอย่างจริงจังเสียดแทงก็ไม่ได้มีบทสรุปที่ชัดเจนอะไร หรือไม่มีใครที่ให้คำตอบได้อย่างชัดเจน

Gundam Seed Freedom

แต่มันก็ดูจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก เมื่อเทียบกับการได้ดูบทละครฉากถัดๆ ไปของตัวละครที่เรารักซึ่งกลับมาแทบจะพร้อมหน้า บทเยอะบทน้อยก็ว่ากันไป แต่ขอแค่โผล่มาให้เห็นบ้างผู้ชมก็ฮือฮากันแล้ว ถึงอย่างนั้นก็คงต้องบอกว่าแม้ผมจะจั่วว่ามันทำมาเพื่อแฟน Seed เท่านั้น แต่คงไม่อาจตัดสินว่าจะถูกใจแฟนๆ ทั้งหมด เพราะ Gundam Seed Freedom มีมู้ดในการเล่าเรื่องที่ต่างไปจากเวอร์ชั่นทีวีอย่างสิ้นเชิง และหากคุณไม่ชอบมู้ดในแบบที่เวอร์ชั่นหนังเล่า คุณก็อาจจะรู้สึกว่าอยากสาปส่งภาคนี้ก็ได้ ในทางกลับกันหากคุณรับได้และไม่ติดขัดอะไรในมู้ดดังกล่าวคุณจะรักภาคนี้แบบไม่มีเงื่อนไขและรอยแผลต่างๆ ของมันจะกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปโดยปริยาย

ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างซื้อในเวย์นี้ เพราะมองว่ามันเหมาะกับฟอร์แมตภาพยนตร์และธีมซึ่งเน้นหนักเรื่องความรัก หากไปเล่าในทีวีซีรีส์ยาวๆ ก็อาจจะแปลกไปหน่อย ที่ชอบมากที่สุดคือไดอาล็อกบทพูดที่มีสีสันมากๆ บางครั้งก็มีความลิเก บางครั้งก็บ้านทรายทอง หลายๆ ครั้งก็กลายเป็นรายการตลกที่มีจังหวะรับส่งมุขได้อย่างเป๊ะปังจนน่าเหลือเชื่อ หลายๆ บทพูดเราก็ไม่คิดว่ามันจะออกมาจากปากของตัวละครบางตัว หรือกระทั่งการเขียนบทแก้กรรมให้ตัวละครหนึ่งได้กลายเป็นตัวละครที่มีสีสันมากที่สุดในเรื่องและคุณจะกลับมาหลงรักเขาได้ไม่ยาก ระดับที่หากไม่มีพี่แกความสนุกน่าจะลดฮวบฮาบไปเลย

Gundam Seed Freedom

ตัวผมเองอยากเข้าห้องน้ำตั้งแต่ครึ่งเรื่อง ทว่าก็ไม่อยากพลาดอะไรไปจึงพยายามทนนั่งดูต่อ ตัวเรื่องก็ขยันทำให้เราได้ขำได้ฮาเหลือเกิน เป็นความทรมาณบันเทิงที่ยินยอมพร้อมรับจริงๆ สำคัญที่สุดคือมุขภายในเรื่องนั้นเป็นตะกอนจากภาคซีรีส์ที่ภาคนี้หยิบมาใส่ปากตัวละครให้แซวกันไปมาสนุกสนาน หรือเล่นตัวเองก็มีบ่อยไป ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลว่าคุณต้องดู Seed ทั้ง 2 ภาคมาก่อน และถ้าจะให้ดีคือต้องชอบมันด้วย ว่าง่ายๆ คือต้องเป็นแฟนนั่นแหละครับถึงจะรับสาส์นได้อย่างเต็มอรรถรสจริงๆ

แต่นอกจากฉากชวนฮาแล้ว แน่นอนว่าก็ไม่พลาดที่จะต้องมีฉากขายของเล่น และฉากสงครามอวกาศองค์สุดท้ายที่ทำได้สมราคาหนังโรงมากๆ หุ่นใหม่หุ่นเก่า หุ่นรีโปรดัคส์ตบเท้าเข้าร่วมวงไพบูลย์ละลานตาเต็มไปหมด และยังมีฉากสุดขลังอันเป็นซิกเนเจอร์ของซีรีส์ที่ทำให้เรานึกย้อนกลับไปถึงความตื่นเต้นขนลุกเมื่อตอนดูฉากคล้ายๆ กันในทีวีซีรีส์ครั้งแรก ทั้งหมดทั้งมวลเมื่อรวมกับบทสรุปที่อาจไม่บริบูรณ์อะไร แต่ก็ทำให้คนทั้งโรงอิ่มเอมได้ ผมถือว่า Gundam Seed Freedom สอบผ่านมากๆ ในการกลับมาครั้งนี้ และหากคุณเป็นแฟน Gundam Seed โตมากับมัน หรือผูกพันธ์กับตัวละครต่างๆ แล้วล่ะก็ การรับชม Gundam Seed Freedom ในโรงภาพยนตร์จึงเป็นเควสต์ช่วงต้นปีที่ห้ามพลาดเป็นอันขาดครับ

Gundam Seed Freedom

Verdict
8.5/10

ดูรอบและสำรองที่นั่งได้ที่ – https://www.majorcineplex.com/booking2/search_showtime/movie=2183

ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชมภาพยนตร์


ติดตามข่าวหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้