รีวิวหนัง OPPENHEIMER – ดุดันปึงปังราวนั่งกับเจ้าตัวตอนทดลองปรมาณู

ถ้าคุณดูหนังของ Nolan ในช่วงหลังแล้วรู้สึกว่าต้องเตรียมพร้อมทั้งกายใจรวมไปถึงความรู้หรือทฤษฎีต่างๆ ซึ่งข้องเกี่ยวกับภาพยนตร์ของเฮียเขาที่กำลังจะฉายอย่างน้อยๆ ในขั้นปฐมภูมิแล้วล่ะก็ ใน OPPENHEIMER ก็ไม่ต่างกัน เพราะอย่างน้อยคุณต้องมีร่างกายที่ไม่เหนื่อยล้าพร้อมรับแรงกระแทก จิตและสมาธิที่เปิดทุกโสตประสาทสัมผัส พร้อมจะวิ่งให้ทันเนื้อเรื่องรวมไปถึงดวงตาที่ต้องไล่อ่านซับและโอบรับงานภาพสุดตระการตาไปพร้อมๆ กัน

รวมไปถึงตั๋วของโรงภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่คุณจะสะดวกหรือเสาะหา ซึ่งหากอยากจะ Best in Class จริงๆ ชนิดที่ไม่สนเรื่องปัจจัยยิบย่อยอื่นๆ ยังไงก็จะขอชี้เป้ามาที่ IMAX with Laser ที่ไอคอนสยาม เพียงโรงเดียวที่เดียวเท่านั้นในประเทศไทยที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้แก่คุณได้ อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจรู้สึกว่าจะไปดูหนังเรื่องหนึ่งต้องเตรียมตัวเยอะปานนี้มันจะคุ้มมั๊ย ก็จะตอบแค่ว่าถ้าคุณรักในความเป็น “ภาพยนตร์” แล้วล่ะก็ การเตรียมตัวให้ดีที่สุดก่อนจะโอบรับ “หนึ่งในประสบการณ์รับชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ที่ดีที่สุด” มันก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนัก

สำหรับ OPPENHEIMER นี่คืออัตชีวประวัติที่ทั้งปึงปังและเงียบงันในเวลาเดียวกัน รุ่งโรจน์แต่ก็ปวดร้าว เยียวยาแต่ยังสาหัส เป็นงานที่ต้องใช้พลังในการรับชมมหาศาล แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสุดยอดผลงานของ Nolan เช่นกัน

แน่นอนว่าหนังชื่อนี้ก็คงจะเล่าประวัติของใครไปไม่ได้นอกจาก Dr. Julius Robert Oppenheimer ผู้ดูแลโครงการแมนฮัตตันโปรเจกต์และบิดาแห่งระเบิดปรมาณู ชายที่ซีกโลกหนึ่งเป็น Savior และอีกซีกโลกคือจอมมาร ซึ่งตัวเขาก็เหมือนจะรับรู้และขบคิดอยู่ในตัวไปพร้อมๆ กัน แม้เขาจะเป็นหัวเรือสำคัญในการสร้างอาวุธพลิกโลก แต่ผลกระทบจากงานชิ้นนั้นกลับสาหัสสากรรจ์กับชีวิตเขายิ่งกว่า

OPPENHEIMER เป็นหนังอัตชีวประวัติที่ Christopher Nolan งัดเอาท่ายากมาเล่าเรื่องตั้งแต่เปิดหนัง คือยี่ห้อ Nolan คงไม่คาดหวังให้มาเล่าเรื่องจาก 1-10 อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าแกจะเปิดด้วยเลข 9 ย้อนมา 1 วนกลับไปที่ 7 แล้ววกกลับมา 3 เรียกว่าคนดูก็ต้องเบ่งลมปราณสู้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ตัวละครก็เยอะเหลือเกิน เยอะไม่พอดาราดังๆ ทั้งนั้น แถมไม่มีการแนะนำตัวแบบชัดเจน อย่างมากก็บอกชื่อแล้วเล่าเรื่องต่อ OPPENHEIMER ไม่มีความประณีประนอมและเป็นตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุด ดังนั้นแล้วผมจึงอยากให้คนที่จะไปดูควรศึกษาประวัติของชายผู้นี้มาโดยสังเขป หรืออาจจะต้องมีความรู้เรื่องสถานการณ์โลกในห้วงเวลานั้นสักหน่อย ก็จะช่วยในการวิ่งตามเนื้อเรื่องได้พอสมควร และไม่ต้องกลัวว่าอ่านแล้วจะสปอยล์ตัวเอง เพราะ Nolan เขามีวิธีจัดการคุณให้อยู่หมัดแน่นอนไม่ต้องห่วง วิธีการเล่าเรื่องของ OPPENHEIMER จัดว่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย คือใช้ท่ายาก แต่ยังเลี้ยงคนดูไว้ได้ ทำ 3 ชั่วโมงให้เหมือน 30 นาที ตอนขมวดปมช่วงท้ายคือเร่งเร้าอารมณ์สุดๆ ไปเลย

ถ้าใครพอรู้เรื่องราวในวงการวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นก็อาจจะอินมากขึ้นเป็นพิเศษเพราะมีนักวิทย์ชื่อดังหลายๆ คนที่โผล่เข้ามาในระหว่างทางเดินของ Oppenheimer มากมาย ผมชอบในส่วนของซีน Einstien ที่เหมือนกับเป็น Elder ของวงการ ออกมาไม่มาก แต่การวางตัวและถ้อยแถลงนั้นทั้งเยียบเย็นและเฉียบคม รวมถึงบทบาทของ RDJ Robert Downey Junior กับการเป็น Lewis Strauss ที่ไต่ระดับอารมณ์ของตัวละครได้อย่างละเมียดละไมจนน่าทึ่ง ไม่ต้องพูดถึง Cillian Murphy กับบทบาท Oppenheimer ที่เอาหนังทั้งเรื่องอยู่แบบไม่ยากไม่เย็น

แม้จะมีความยาวเหยียบ 3 ชั่วโมง แต่ OPPENHEIMER ก็เล่าเรื่องกระชับฉับไว ดูเล่นใหญ่อยู่ตลอดพร้อมซาวด์ประกอบสุดกระหึ่มที่กระตุ้นอดรีนาลีนผู้ชมเป็นระยะๆ กับเสียงระเบิดที่ทำเอาเก้าอี้ทั้งโณงสั่นพั่บๆๆ ราวกับว่าเรากำลังนั่งอย่าข้างๆ Oppenheimer ตอนแกทดลองระเบิดจริงๆ ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมควรจะไปดูโรง IMAX เพราะ OPPENHEIMER คือชิ้นงานที่สามารถรีดประสิทธิภาพของโรงภาพยนตร์ออกมาได้อย่างถึงแก่นจริงๆ ถ้าคุณรอดูที่บ้านยังไงก็ไม่พบเจอประสบการณ์แบบนี้แน่นอน

ผมจะไม่แปลกใจถ้าหากงานประกาศรางวัลออสการ์ในปีหน้าจะมีชื่อของ OPPENHEIMER เข้าชิงรางวัลเหยียบ 10 สาขา นี่คือผลงานที่แทบจะไร้จุดติติง ซึ่งสิ่งเดียวที่จะสามารถทอนประสบการณ์ของคุณที่จะได้รับจากหนังเรื่องนี้ก็คือคุณเตรียมตัวมาดีไม่พอ แต่เพราะแบบนั้นมันจึงเป็นจุดบอดระดับหนึ่งที่หนังจะไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกคนอย่างจริงจัง แต่เอาจริงๆ มันก็เป็นผลงานที่มีความเฉพาะทางอยู่แล้ว และในทางของมัน OPPENHEIMER คือความสุดที่แทบจะหาใดเปรียบ

ตึงตัง ขึงขัง สับสน เหนื่อยล้า เจ็บปวด ร้าวราน

พิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของ OPPENHEIMER ด้วยตาตัวเองได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ Major Cineplex ทุกสาขาครับ