The Woman King มหาศึกวีรสตรีเหล็ก ประกาศศักดาอันกึกก้องของเหล่าวีรสตรีที่สุดยิ่งใหญ่ เรื่องราวการต่อสู้ที่น่าทึ่งของ “อาโกจี” หน่วยนักรบหญิงล้วนผู้ปกป้องอาณาจักรดาโฮเมในแอฟริกายุค 1800s ด้วยทักษะและความดุดันในแบบที่คนทั้งโลกไม่เคยเห็น สร้างจากแรงบันดาลใจและเหตุการณ์จริง The Woman King เล่าเรื่องการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของนายพลนานิสก้า นำแสดงโดยเจ้าของรางวัลออสการ์ “วิโอลา เดวิส” ขณะที่เธอฝึกฝนทหารเกณฑ์กองทัพนักรบหญิงหนึ่งเดียวในแอฟริกาให้พร้อมสำหรับการต่อสู้กับศัตรูครั้งยิ่งใหญ่ ฝึกให้โหด รบให้แกร่ง อยากเป็นนักรบ…จงเลิกหลั่งน้ำตา
ความมันส์: ระดับ A+
ความเดือดที่มะเขือเทศสดยังต้องยอม! #TheWomanKing #มหาศึกวีรสตรีเหล็ก เปิดฉายรอบพิเศษ วันนี้ -11 มกราคม ฉายจริง 12 มกราคม ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

ข้อมูลงานสร้าง
The Woman King เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งของ อะโกเจีย หน่วยนักรบหญิงล้วนผู้ปกป้องอาณาจักรดาโฮมีในแอฟริกาในยุค 1800s ด้วยทักษะและความดุดัน ในแบบที่คนทั้งโลกไม่เคยเห็น ด้วยแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง The Woman King เล่าเรื่องการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของนายพลนานิสก้า (นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ วิโอลา เดวิส) ขณะที่เธอฝึกฝนทหารเกณฑ์รุ่นต่อไปและเตรียมพวกเธอให้พร้อมสำหรับการต่อสู้กับศัตรูที่ตั้งใจจะทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา บางสิ่งก็คุ้มค่าที่จะต่อสู้เพื่อมัน…
ไทรสตาร์ พิคเจอร์ส ร่วมกับ อีวัน ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยจูวีและเวลล์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ภาพยนตร์โดยจีนา ปรินซ์-ไบธ์วู้ด The Woman King นำแสดงโดยวิโอลา เดวิส, ธูโซ เอ็มบีดู, ลาชานา ลินช์, ชีลา เอทิม, ฮีโร ไฟน์ ทิฟฟินและจอห์น โบเยกา กำกับโดยจีนา ปรินซ์-ไบธ์วู้ด บทภาพยนตร์โดยดานา สตีเวนส์ เรื่องราวโดยมาเรีย เบลโลและดานา สตีเวนส์ อำนวยการสร้างโดยเคธี ชูลแมน, วิโอลา เดวิส, จูเลียส เทนนอนและมาเรีย เบลโล ผู้ควบคุมงานสร้างคือปีเตอร์ แม็คอาลีส ผู้กำกับภาพคือพอลลี มอร์แกน เอเอสซี บีเอสซี ผู้ออกแบบงานสร้างคืออาคิน แม็คเคนซีย์ ลำดับภาพโดยเทอริลิน เอ. ชร็อพไชร์, เอซีอี ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือเกอร์ชา ฟิลลิปส์ ดนตรีโดยเทอร์เรนซ์ บลังชาร์ด
The Woman King ได้รับการจัดเรท PG-13 โดยสมาพันธ์ภาพยนตร์สำหรับซีเควนซ์ที่มีความรุนแรง เนื้อหาที่สะเทือนจิตใจ เนื้อหาด้านธีม ภาษารุนแรงและภาพโป๊เปลือยบางส่วน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศในวันที่ 16 กันยายน ปี 2022

เกี่ยวกับภาพยนตร์
“ฉันรู้สึกว่า The Woman King เป็นเรื่องราวที่สำคัญเพราะฉันเห็นตัวเองอยู่ในนั้น” วิโอลา เดวิส นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์และผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหน่วยนักรบหญิงล้วนผู้ปกป้องอาณาจักรดาโฮมีในช่วงปลายศตวรรษ 1600s จนถึงปลายศตวรรษ 1800s กล่าว “ฉันเห็นความเป็นผู้หญิงของฉันอยู่ในนั้น ฉันเห็นความมืดมิดของฉันในนั้น ฉันเห็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ในนั้น ฉันมักจะพูดเสมอว่าส่วนไหนๆ ของประวัติศาสตร์ก็มีความสำคัญทั้งนั้น แม้แต่ส่วนเล็กๆ และฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่โลกกำลังหิวกระหายค่ะ”
นักรบอะโกเจียมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ ปกป้อง และคุ้มครองอาณาจักรดาโฮมีและกษัตริย์ของมัน อาณาจักรดาโฮมีเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในขณะนั้น และผู้พิทักษ์อาณาจักร พวกอะโกเจียก็เป็นนักรบที่น่าเกรงขามที่สุดในแอฟริกาตะวันตก ในดินแดนที่เรารู้จักในปัจจุบันว่าคือเบนิน
วัฒนธรรมดาโฮมี ซึ่งให้ความสำคัญกับผู้หญิงเป็นอย่างมาก เพลิดเพลินไปกับโครงสร้างทางสังคมที่มีเอกลักษณ์และก้าวหน้าอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงเวลานั้น โดยที่ผู้รับตำแหน่งข้าราชการทั้งหลายมีทั้งผู้นำชายและหญิงอย่างสมดุล ระบบความเท่าเทียมทางเพศนี้รวมถึงตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของราชอาณาจักร ตั้งแต่นายพลทหารไปจนถึงที่ปรึกษาทางการเงินและผู้นำทางศาสนา และก้าวล้ำไปถึงตำแหน่งสูงสุด ที่กษัตริย์จะทรงพระราชทานตำแหน่ง คโปจีโต หรือกษัตริย์หญิง ให้กับชายาคู่สมรส
“วัฒนธรรมนี้มีความเป็นคู่ขนานที่ไม่เหมือนใคร” ผู้อำนวยการสร้างเคธี ชูลแมนกล่าว “มันเหมือนกับจินตนาการที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกงาน รวมถึงตำแหน่งผู้นำทางทหาร จะมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เป็นการจัดการของทั้งหยินและหยาง และสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงค่ะ”
“ในเรื่องนี้ เรามีความสามารถในการปรับเปลี่ยนความหมายของการเป็นผู้หญิงได้” ผู้กำกับจีนา ปรินซ์-ไบธ์วู้ด กล่าว “เราไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ฉันชอบเรื่องราวแบบนี้ ที่สามารถปรับเปลี่ยนความหมายของการเป็นผู้หญิง ตีกรอบความเป็นผู้หญิง และพลกำลังใหม่ พวกเธอคือผู้หญิงตัวจริงที่ทำสิ่งที่เหนือมนุษย์เหลือเกิน แต่พวกเธอก็ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร ฉันแค่ต้องนำเสนอผู้หญิงเหล่านี้บนหน้าจอค่ะ”
ต้นกำเนิดของภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นจากผู้อำนวยการสร้างมาเรีย เบลโล ผู้ซึ่งได้พบกับเรื่องราวของนักรบ อะโกเจียระหว่างเดินทางในแอฟริกาตะวันตก เบลโลได้มอบหนังสือเกี่ยวกับผู้หญิงที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสให้กับผู้อำนวยการสร้างเคธี ชูลแมน “ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จนทะลุปรุโปร่งนานเจ็ดเดือน ด้วยความพยายามเข้าใจภาษาฝรั่งเศสให้มากพอที่จะอ่านเรื่องนี้ได้น่ะค่ะ” ชูลแมนกล่าว “ฉันตกใจมากที่รู้ว่ามีส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มีกองทัพหญิงล้วนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้น่ะค่ะ”
ขณะที่เบลโลและชูลแมนเริ่มคุยกันเรื่องภาพยนตร์ที่เป็นไปได้ ทั้งคู่ก็เข้าหาเพื่อนที่ดีของพวกเขา เดวิส ในสถานที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด นั่นคือห้องบอลรูมที่สเคอร์บอล เซ็นเตอร์ในลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเบลโลได้มอบรางวัลให้กับเดวิสในงานวีเมน เมคกิ้ง ฮิสทรี อวอร์ดประจำปี 2015 “เมื่อมาเรียขึ้นไปโพเดียมเพื่อมอบรางวัลของฉัน เธอพูดว่า 'ฉันจะนำเสนอหนังที่ฉันคิดว่าพวกคุณทุกคนคงชอบที่จะได้เห็นวิโอลา เดวิสในนั้น' เธอเล่าเรื่องราวของอะโกเจียและดาโฮมีและพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มส่งเสียงเชียร์! นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับรู้ความจริงที่ว่ามีเรื่องราวอยู่ตรงนั้นน่ะค่ะ” เดวิสกล่าว และการนำเสนอนั้นก็ได้ผล
เมื่อได้เดวิสมาร่วมงาน ชูลแมนก็ได้นำเสนอโปรเจ็กต์นี้กับไทรสตาร์ พิคเจอร์ส ด้วยความที่เธอเป็นผู้อำนวยการสร้างมากประสบการณ์เจ้าของรางวัลออสการ์ เธอจึงเดินเข้าไปโดยตระหนักดีถึงปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า “เป็นเรื่องยากมากที่ผู้หญิงที่จะได้รับเงินทุนสำหรับโครงการของพวกเธอ และยากยิ่งกว่าที่จะให้เงินทุนในสิ่งที่ผู้คนไม่เคยเห็นมาก่อน” ชูลแมนกล่าว “โปรเจ็กต์นี้ไม่สามารถถูกจัดประเภทได้ง่ายๆ แต่เรามีผู้สนับสนุน นิโคล บราวน์จากไทรสตาร์มองเห็นได้ทันทีว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรได้บ้าง เธอเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราจริงๆ ที่เอาชนะอุปสรรคทั้งหมดได้”
“ในตอนที่พวกผู้อำนวยการสร้างเข้ามาหาฉันด้วยเรื่องราวนี้ ฉันถึงกับตะลึงเลยค่ะ” บราวน์กล่าว “นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าทึ่ง เหลือเชื่อ และฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน มันมีแอ็กชันที่ยิ่งใหญ่และอารมณ์ที่ลึกซึ้ง การเล่าเรื่องแบบนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้จอเงินมีอยู่! เมื่อเราได้อนุมัติให้มีการสร้าง The Woman King ขึ้นมา เราก็รู้ว่าผู้ชมภาพยนตร์จะลืมตัวเองไปกับพลังและความน่าตื่นเต้นของมัน และตอนนี้ เมื่อฉันได้ดูหนังที่เสร็จสมบูรณ์แล้วบนจอใหญ่ ฉันก็สามารถสัญญาได้ว่าผู้ชมจะได้รับแรงบันดาลใจและอึ้งและทึ่งไปกับมันค่ะ”
ในการดัดแปลงเรื่องราวของอะโกเจียสำหรับจอเงิน ผู้อำนวยการสร้างได้เลือกมือเขียนบท ดานา สตีเวนส์ ผู้รู้สึกสนใจแนวคิดในการบอกเล่าเรื่องราวจริงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ไม่นานนักก็ตาม “ฉันรู้สึกทึ่งกับภาพถ่ายของนักรบตัวจริง และการที่ผู้พบเห็นได้พูดถึงทักษะของพวกเธอน่ะค่ะ” สตีเวนส์กล่าว “เรื่องราวนี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก มีหลายวัฒนธรรมที่เรามองข้ามและไม่ได้ปรากฏในหนัง นี่เป็นโอกาสที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่แท้จริงและยิ่งใหญ่เกี่ยวกับผู้หญิงที่พิเศษสุดเหล่านี้ค่ะ”
ในเวลาเดียวกัน ประวัติศาสตร์ที่มีการตีพิมพ์นั้นค่อนข้างน้อย และทีมผู้สร้างก็ตระหนักดีว่าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นเขียนขึ้นจากมุมมองของยุโรปที่มีอคติและมักเหยียดเชื้อชาติ ในแง่นี้ สตีเวนส์ร่วมกับผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับตัดสินใจว่าวิธีที่ดีที่สุดในการนำเสนอความจริงทางอารมณ์สำหรับเรื่องราวของอะโกเจียคือการเล่าเรื่องราวสมมติ “เป็นเรื่องน่าทึ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับผู้คนจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แล้วก็มีอิสระในการสร้างตัวละครสมมติ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาด้วยอารมณ์น่ะค่ะ” สตีเวนส์กล่าว
ในการเขียนบทภาพยนตร์ สตีเวนส์และทีมผู้สร้างได้ทำงานร่วมกับนักประวัติศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ของปรินซ์ตันอย่างลีโอนาร์ด วันเชคอน ผู้มาจากเบนิน “ลีโอนาร์ดเป็นนักวิชาการและศาสตราจารย์ชั้นนำของเบนิน ผู้ทำงานในแวดวงวิชาการของอเมริกา ในสาขาเศรษฐศาสตร์เบนิน ขณะที่เรากำลังค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้ ชื่อของเขาก็ปรากฏขึ้นทุกที่” ชูลแมนกล่าว “เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อสอนและเขียนเกี่ยวกับแอฟริกาตะวันตก และเช่นเดียวกับเรา เขาอุทิศตนเพื่อปลุกชีวิตให้กับประวัติศาสตร์ที่ถูกฝังไว้ ประวัติศาสตร์ได้มองข้ามความซับซ้อนของดาโฮมีในการจัดการกิจการของตัวเอง พวกเขาได้สร้างสถาบันที่ล้ำสมัยและซับซ้อน เหมือนพวกอะโกเจีย ดังนั้น เมื่อเราเริ่มทำงานกับเขา ลีโอนาร์ดก็ได้กระตุ้นให้เรารักษาวิสัยทัศน์ของเราไว้เหมือนเดิมน่ะค่ะ”
งานวิจัยที่วันเชคอนจัดทำขึ้นนั้นมีค่ามากในการปรับบริบทประวัติศาสตร์อันซับซ้อนที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้ The Woman King เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อาณาจักรดาโฮมีได้รับการจับตามองทางเศรษฐกิจจากการมีส่วนร่วมในการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ภาพยนตร์เรื่องนี้บรรยายถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของดาโฮมี ที่กษัตริย์มีโอกาสได้ฟังผู้ที่อยู่ในอาณาจักรของเขาที่พูดต่อต้านการค้าทาสและสำรวจเส้นทางอื่นที่จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เรื่องราวนี้ยกย่องความพิเศษของนักรบอะโกเจียท่ามกลางฉากหลังของการต่อต้านนั้น “นานิสก้าอยู่ตรงจุดที่เป็นทางแยกในชีวิตค่ะ” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดอธิบาย “ในฐานะนักรบชรา เธอรู้ว่าเธอมีเวลาเหลือจำกัด และเธอมีวิสัยทัศน์ที่จะช่วยดาโฮมีให้หลุดพ้นจากการค้าทาส แค่บอกว่า 'เราไม่ขายคนของเราเอง' ไม่เพียงพอหรอกค่ะ”
เดวิสกล่าวว่าเรื่องราวของนักรบอะโกเจียกระทบใจเธอเพราะมันสะท้อนถึงการเดินทางของตัวเธอเองเกี่ยวกับความภูมิใจและการยอมรับตนเอง อย่างที่ผู้หญิงหลายคนประสบ “ฉันใช้เวลาสี่ปีในโรงเรียนฝึกหัด ที่ซึ่งฉันรู้สึกเหมือนต้องปกปิดตัวตนของฉันเพื่อที่จะได้เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม ฉันต้องหลอกคุณให้เชื่อว่าฉันไม่ใช่คนดำด้วยร่างกาย ด้วยเสียงของฉัน ว่าฉันต้องเป็นแบบอย่างของสิ่งที่เราถือว่าเป็นผู้หญิง” เดวิสอธิบาย “The Woman King แหกกฎทั้งหมด ในหัวใจและความคิดของผู้หญิงทุกคนที่นั่น พวกเธอต้องการสิ่งนั้น พวกเธอหวังถึงสิ่งนั้น พวกเธอหวังว่าจะมีพื้นที่ที่พวกเธอจะสามารถทำลายขอบเขตทั้งหมดเหล่านั้นและพูดว่า 'ฉันอยู่ที่นี่และฉันก็ชอบมัน' ที่ซึ่งพวกเธอสามารถอยู่ในที่ที่เป็นของพวกเธอได้น่ะค่ะ”
เดวิสกล่าวเสริมว่าการเตรียมตัวและฝึกฝนสำหรับบทบาทนี้และการสร้างตัวละครของนายพลนักรบ นานิสก้า ได้ให้ความสำคัญกับข้อความทั้งหมดเกี่ยวกับร่างกายของเธอที่เธอได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมา “ทุกสิ่งที่ฉันถูกสอนเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ต้องการชนะการประกวดมิส เซ็นทรัล ฟอลส์ รีครีเอชัน และอยากดูดีในชุดบิกินี่ อยากผอมและน่ารัก บอบบางและสวย ทั้งๆ ที่ฉันมักจะเป็นคนที่มีกล้ามเนื้อและตัวหนาจริงๆ น่ะค่ะ” เธอกล่าว “ฉันมักจะรู้สึกว่าความเป็นผู้หญิงของฉันไม่สามารถถูกสร้างขึ้นได้ด้วยผืนผ้าใบนี้ แต่จู่ๆ ด้วยบทบาทนี้ กล้ามเนื้อ แขน ขาที่ใหญ่ และเสียงที่หนักแน่นของฉันกลับสมบูรณ์แบบ เมื่อฉันเดินเข้าไปในฉากในฐานะนานิสก้า ฉันก็ไม่รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้เลย ฉันชื่นชมมันในทุกๆ ด้านค่ะ”
เกี่ยวกับตัวละคร
กลุ่มนักรบหญิงชั้นยอดได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่ตามคำบอกของเดวิส การสร้างตัวละครของพวกเธอ จำเป็นต้องมีการค้นคว้าข้อมูลมากมาย รวมกับการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแหล่งที่มาของข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เขียนขึ้นโดยชาวยุโรปในช่วงระหว่างและหลังการล่าอาณานิคม และถูกสร้างขึ้นภายใต้อคติ “ความจริงที่ว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงคือสิ่งที่ทำให้คู่ต่อสู้ของพวกเธอประมาทค่ะ” เธอกล่าว “นักรบเหล่านี้กล้าหาญ พวกเธอโหดเหี้ยม แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือพวกเธอเป็นผู้หญิง มันไม่ได้เข้ากับแนวทางที่เรามองผู้หญิงในสมัยนั้นหรือยุคนี้เลย ชาวอาณานิคมจะเรียกพวกเธอว่า 'มีความเป็นผู้ชาย' หรือ 'ดูเหมือนสัตว์เดรัจฉาน' และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะพวกเขาอาศัยความเข้าใจของตนเองว่าพวกเขามองผู้หญิงอย่างไรและมองแอฟริกาอย่างไร ในขณะที่ผู้หญิงเหล่านี้ภูมิใจที่ได้อยู่ในหน่วยทหารนี้ มันเป็นอัตลักษณ์ของพวกเธอค่ะ”
นักรบอะโกเจียประกอบด้วยสตรีที่มีภูมิหลังหลากหลายจากหมู่บ้านต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค พวกเธอมารวมตัวกันเพื่อสานสายสัมพันธ์ความเป็นพี่น้องกันที่ไม่มีวันแตกแยก ขณะที่ปรินซ์-ไบธ์วู้ดเตรียมถ่ายทำในแอฟริกาใต้ เธอก็พยายามสะท้อนความสัมพันธ์แบบนั้นให้ปรากฏในทีมนักแสดงของเธอด้วย “ฉันต้องการสร้างทีมนักแสดงที่เป็นตัวแทนของความหลากหลายอันน่าทึ่งของชาวพลัดถิ่นของเราน่ะค่ะ” เธอกล่าว “เรามีธูโซ เอ็มบีดู ซึ่งมาจากแอฟริกาใต้ มีลาชานา ลินช์ ซึ่งเป็นชาวจาไมกาและชีลา เอทิม ซึ่งมาจากสหราชอาณาจักร แต่ก็เป็นยูกันดาด้วย เรามีผู้หญิงจากแอฟริกาตะวันตก และผู้หญิงแอฟริกันอเมริกัน นั่นเป็นความตั้งใจที่จะนำพวกเราทุกคนมารวมกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพวกเรา ฉันรักพลังงานที่สิ่งนั้นนำมาสู่กองถ่ายน่ะค่ะ”
พวกอะโกเจีย
นานิสก้า ตัวละครของวิโอลา เดวิสเป็นมีกานอน หรือนายพลของพวกอะโกเจีย “ในตัวนานิสก้า ฉันมองเห็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ เป็นผู้หญิงที่ใช้พลังของตัวเองอย่างเต็มที่” เดวิสกล่าว “ฉันรักความแข็งแกร่งของเธอและฉันก็เห็นตัวเองในนั้น ฉันมักจะรู้สึกว่าความเป็นผู้หญิงของฉันมันผิดเพราะฉันไม่ได้ตัวเล็กและอ้อนแอ้น มีบางอย่างเกี่ยวกับนานิสก้าที่เป็นคนแอฟริกันผิวดำอย่างแท้จริง เป็นผู้หญิงที่ปราศจากขอบเขตของสิ่งที่เรามองว่าเป็นผู้หญิงน่ะค่ะ”
“นานิสก้าเป็นผู้นำ เป็นนักรบผมหงอก เป็นผู้หญิงที่ไต่ระดับสู่ฐานอำนาจอย่างเงียบๆ เธอเข้าใจวิธีเล่นเกมการเมืองในโลกของเธอเป็นอย่างดีค่ะ” ดานา สตีเวนส์อธิบาย
“เธอมีหน้าที่ฝึกนักรบรุ่นเยาว์ให้มาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเธอ” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “เพื่อปกป้องหญิงสาวเหล่านั้นและฝึกฝนพวกเธอในแบบที่พวกเธอสามารถป้องกันตัวเองในสนามรบได้”
ผู้ที่อยู่ในหมู่บ้านนอกกำแพงวังคือนาวี รับบทโดยธูโซ เอ็มบีดู ซึ่งชื่อตัวละครนี้เป็นการอุทิศให้กับหนึ่งในนักรบอะโกเจียคนสุดท้ายที่เรารู้จักกัน ผู้เสียชีวิตในปี 1979 เด็กสาวกำพร้าที่ต้องเรียนรู้การพึ่งพาตัวเอง เธอต่อต้านทุกความพยายามของพ่อบุญธรรมของเธอที่จะให้เธอแต่งงานออกไป เมื่อเขาตระหนักว่าชะตากรรมของเธอคือการไม่แต่งงานหรือมีลูก เขาก็ส่งเธอไปที่พระราชวัง ที่ซึ่งเธอถูกส่งตัวไปให้กับหน่วยอะโกเจีย
ในการสร้างตัวละครตัวนี้ สตีเวนส์ดึงข้อมูลจากการค้นคว้าข้อมูลของเธอ “ในประเทศและวัฒนธรรมดาโฮมีบางครั้ง เด็กผู้หญิงก็จะถูกมอบให้กษัตริย์” เธอตั้งข้อสังเกต “แนวคิดคือ 'คุณกลายเป็นนักรบเพราะคุณล้มเหลวในทุกสิ่งที่คุณควรจะทำได้อย่างดี' แต่จริงๆ แล้ว นาวีเป็นหญิงสาวที่ไม่มีโอกาสฝัน เธอมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อทำงานเท่านั้นโดยไม่ได้รับความรักหรือความห่วงใย ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ในเส้นทางของการใช้ชีวิตธรรมดาๆ ติดอยู่บ่วงของการแต่งงานที่ปราศจากความรักน่ะค่ะ”
“นาวีเป็นเด็กกำพร้า เธอเป็นเด็กสาวที่มุ่งมั่นและดื้อรั้น ผู้เฝ้าฝันถึงชีวิตที่ดีกว่าชีวิตที่เป็นอยู่มาโดยตลอด” เอ็มบีดูกล่าว “เธอพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เธอสามารถเป็นในสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด นั่นคืออะโกเจียค่ะ”
เอ็มบีดูกล่าวต่อว่าหญิงสาวต้องพบกับการถูกปลุกให้ตื่นอย่างสะเทือนความรู้สึกเมื่อการฝึกของเธอเริ่มต้นขึ้น แต่เธอก็จะต้องมุมานะต่อไป “เราสามารถพูดได้ว่าเธอเป็นคนดื้อรั้น แต่เธอก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดด้วย” เธอกล่าว “เธอไม่มีแผนสำรอง มันต้องได้ผล เธอไม่สามารถกลับบ้านได้ พ่อของเธอได้สละเธอทิ้งไปแล้ว และนี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม เธอไม่รู้หรอกค่ะว่ามันจะยากแค่ไหน แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้มันสำเร็จ”
ที่พระราชวัง นาวีพบกับอิโซกี ที่รับบทโดย ลาชานา ลินช์ อิโซกี ผู้ดำรงตำแหน่งร้อยโทประจำหน่วยอะโกเจีย ได้เข้าสู่ภราดรภาพนี้ภายใต้สถานการณ์ที่ลำบากเช่นกัน และด้วยความที่เธอมองเห็นตัวเองในนาวี เธอจึงคอยดูแลและให้คำปรึกษาแก่เด็กสาว
“จีนาและดานาทำงานได้อย่างเหลือเชื่อในการสร้างตัวละครที่ฉันรู้สึกเชื่อมโยงด้วย เพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ฉันต้องการท้าทายความเข้าใจผิดนี้ ตำนานนี้ ของผู้หญิงผิวดำที่แข็งแกร่ง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วฉันเชื่อว่าไม่สมเหตุสมผล” ลินช์กล่าว “ในการที่ผู้หญิงผิวดำจะแข็งแกร่ง มันจะต้องมาจากบางสิ่ง มันมาจากความอ่อนแอ มันมาจากความเจ็บปวด มันมาจากความบอบช้ำ และฉันคิดว่าพวกเขาก็ทำได้ดีเยี่ยมในการสร้างสมดุลระหว่างผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ดุร้าย มีทักษะ และมีเลือดเนื้อจริงๆ และผู้หญิงที่ต้องยืนหยัดเพื่อตัวเองเมื่อเธอได้รับอำนาจจากครอบครัวที่เธอเลือกน่ะค่ะ”
“ลาชานานำอะไรมากมายมาสู่ตัวละครตัวนี้ค่ะ” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “นี่เป็นตัวละครที่เท่ตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว แต่ดานา เธอและฉันได้ขุดลึกลงไปเพื่อดึงเอามิติของตัวละครตัวนี้ออกมามากขึ้นอีก ลาชานาเข้ามาพร้อมกับเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าทึ่งสำหรับ อิโซกี ที่เรารวมเข้ากับเรื่องราวค่ะ”
อาเมนซา ที่รับบทโดยชีลา เอทิม เคยเป็นทาสของนานิสก้ามาก่อน แต่ตอนนี้เธอเป็นมือขวาของนายพลในกองทัพ อะโกเจีย มิตรภาพอันยาวนานระหว่างทั้งคู่ทำให้อาเมนซาและนานิสก้ามีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความลับร่วมกัน
อาเมนซาเป็นมากกว่าผู้ช่วย เธอเป็นผู้นำทางศาสนาหญิงของอาณาจักร “ในร่างต้นฉบับ มันเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร แต่เมื่อชีลา เอทิมเข้ามา เราก็เริ่มล้วงลึกเข้าไป มันหมายความว่าอย่างไร เราสามารถนำอะไรมาสู่เรื่องราวของเธอได้อีก จิตวิญญาณที่เธอครอบครองเมื่อตอนเป็นเด็กสาวทำให้เธอมีที่ยืนในสังคมนี้” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “อาเมนซาเป็นคนที่สงบเงียบสำหรับนานิสก้า แน่นอนว่าเธอเป็นคนเดียวที่นานิสก้าไว้วางใจ แต่เธอก็เป็นคนที่ให้ความรู้สึกสงบเงียบสำหรับทุกคนเช่นกันค่ะ”
นอกจากนี้ อาเมนซายังเป็นประธานในพิธีเริ่มต้น การป้องกัน และการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ของหน่วยอะโกเจียด้วย “ผู้หญิงเหล่านี้มารวมกันจากสถานที่และทางเดินชีวิตที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันมากมาย” เอทิมกล่าว “ในระหว่างขั้นตอนการฝึก ทุกคนต่างพยายามค้นหาจุดยืนของตัวเองและค้นหาว่าพวกเธอเป็นใคร แต่เมื่อพวกเธอผ่านการทดสอบขั้นสุดท้าย และพวกเขาได้รับการรับขวัญ พวกเธอก็กลายเป็นพี่น้องกัน พวกเธอยังคงเก็บสมบัติตกทอดและประวัติศาสตร์ของพวกเธอเอาไว้ แต่ทุกคนก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวค่ะ”
เอเดรียน วอร์เรนรับบทเป็น โอดา เชลยชาวมาฮีผู้ถูกชาวดาโฮมีจับเป็นนักโทษเมื่อผู้คนของเธอบุกเข้าไปในหมู่บ้านของดาโฮมี โอดาได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมหน่วยอะโกเจีย และเธอก็ได้รับโอกาสในการจากไป แต่เธอกลับเลือกที่จะอยู่และเรียนรู้ทักษะของเธอ “โอดาเป็นหญิงสาวที่แข็งแรงมากและมีพรสวรรค์มาก เธอเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับตัวเองในฐานะสมาชิกใหม่ของหน่วยอะโกเจียค่ะ” วอร์เรนกล่าว “เธออยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ภายในนั้น เธอสามารถค้นพบส่วนที่แตกต่างของตัวเองในการเดินทางครั้งนี้ได้ เธอมีโอกาสที่จะสำรวจสิ่งนั้นและเป็นตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองในการค้นพบว่าเธอเป็นใครในฐานะอะโกเจียน่ะค่ะ”
มาซาลี บาดูซา รับบทเป็น ฟูมบ้า เด็กสาวที่ถูกลักพาตัวและกลายเป็นกำพร้าโดยจักรวรรดิโอโย ด้วยความตั้งใจที่จะขายเธอให้เป็นทาส “ฟูมบ้ามีจิตวิญญาณที่อ่อนโยนและจริงใจค่ะ” บาดูซากล่าว “เธอสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในตอนที่เราเริ่มหนังเรื่องนี้ และเรื่องราวของเธอก็เกี่ยวกับการค้นหาเส้นทางของเธอ ฟูมบ้าไม่ใช่นักสู้ เธอไม่ใช่ทหาร เธอไม่ใช่นักฆ่า แต่เธออยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ ที่เธอต้องกลายเป็นแบบนั้น นี่เป็นการเดินทางของใครบางคนที่กลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เคยเป็นมา เพื่อที่จะมีชีวิตรอดค่ะ”
กษัตริย์
พระองค์ทรงดำเนินประหนึ่งแผ่นดินโลกได้รับเกียรติจากภาระที่มันแบกรับ
ในตอนที่จอห์น โบเยกาอ่านประโยคนั้น เขาก็รู้ว่าเขาจะยอมรับบทบาทของกษัตริย์เกโซ “นี่เป็นหนึ่งในบทช่วงแรกที่จีนาบอกกับผมในจดหมายของเธอเกี่ยวกับการรับบทนี้น่ะครับ” เขากล่าว “มันอธิบายตัวเขาอย่างละเอียด และมันก็ทำให้ผมมีโอกาสแสดงความเก่งกาจในการแสดงซึ่งค่อนข้างน่าตื่นเต้นสำหรับบทบาทนี้”
หลังจากเพิ่งทำรัฐประหารได้สำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความช่วยเหลือจากนักรบอะโกเจีย ซึ่งปลดพี่ชายของเขาออกจากบัลลังก์ เกโซยังใหม่ต่อบัลลังก์นี้ “เขาเป็นกษัตริย์หนุ่มที่มีความรู้สึกขัดแย้ง ผู้กำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่แปรปรวน” โบเยกากล่าว “นี่เป็นช่วงเวลาที่ซับซ้อนมากในประวัติศาสตร์ของเขา หลังจากการขึ้นครองบัลลังก์ภายใต้เสียงโต้เถียง เขาก็อยู่ในจุดที่ความเป็นผู้นำและการตัดสินใจจะมีความหมายทุกอย่างสำหรับอนาคตของชาวดาโฮมีครับ”
การตัดสินใจที่เขาต้องทำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและมีผลกระทบในวงกว้าง “เขากำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่นานิสก้าให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เกี่ยวกับผลกระทบของความโหดร้ายของมนุษย์ในสังคมของพวกเขา การตัดสินใจที่ว่าพวกเขาจะมีส่วนร่วมในการค้าทาสมากเท่ากับกษัตริย์องค์อื่นๆ หรือไม่น่ะครับ” โบเยกาตั้งข้อสังเกต “การค้าทาสกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านในเวลานั้น ผมคงต้องบอกว่าเกโซรู้สึกขัดแย้งหลายอย่าง และเขาก็เป็นชายหนุ่มที่ต้องรับมือกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจด้วยครับ”
“ในตอนที่ฉันอ่านบทหนังเรื่องนี้จบ คนแรกที่ฉันนึกถึงสำหรับบทเกโซคือจอห์น โบเยก้า ฉันคิดทำนองว่า 'ต้องเป็นจอห์น!'” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดเล่า “ในตอนที่จอห์นเดินไปที่กองถ่าย ผู้คนจะหยุด คุณจะรู้สึกถึงพลังและการมีอยู่ของเขา สิ่งที่เขานำมาสู่ตัวละครตัวนี้มีมากยิ่งกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้อีกค่ะ เขาเป็นกษัตริย์ของเราอย่างแท้จริงค่ะ”
กษัตริย์เกโซเป็นบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ และเรื่องราวส่วนใหญ่ของเขาใน The Woman King ก็มาจากเหตุการณ์จริง “เป็นกระบวนการที่น่าสนใจในการสำรวจตัวละครที่มีอยู่จริงครับ” โบเยกากล่าว “ผมมีตำราประวัติศาสตร์และหนังสือหลายเล่มที่จีนาแนะนำ เขาทำบางอย่างที่ผมเห็นด้วย และบางอย่างที่ผมไม่เห็นด้วย แต่ท้ายที่สุด คุณก็ต้องแยกตัวเองออกจากการค้นคว้าข้อมูล ผมมาที่นี่เพื่อแสดงประสบการณ์จริงและสร้างตัวละครจากการค้นคว้าข้อมูลที่เราทำน่ะครับ”
ผู้มาเยือนจากดินแดนไกลโพ้น
ผู้ที่มาเยือนท่าเรือทาสในเวดาห์คือชายสองคนที่จะส่งผลกระทบสำคัญต่ออาณาจักรดาโฮมี
ฮีโร ไฟน์ ทิฟฟิน รับบทเป็น ซานโต เฟอเรรา ชาวบราซิลเชื้อสายโปรตุเกส ลูกชายของพ่อค้าทาสที่ตอนนี้เป็นนายเรือของตัวเอง ผู้ขนส่งทาสจากแอฟริกา “ซานโตกำลังเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรกเพื่อทำธุรกิจในต่างประเทศ” ฮีโร ไฟน์ ทิฟฟินกล่าว เขาเคยไปกับพ่อหลายครั้งแล้ว และนี่ก็คือโอกาสของเขาที่จะพิสูจน์ตัวเอง เขาต้องเจอการทดสอบเล็กน้อย แต่เขาก็มั่นใจครับ”
ทุกสิ่งที่ซานโตมีผูกติดกับการค้าทาส และเขาก็จะทำในสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อให้มันดำเนินต่อไป มาลิค ไดอัลโล ตัวละครของจอร์แดน โบลเกอร์ มาเยือนพร้อมกับซานโต แต่เขาแตกต่างออกไปมาก โบลเกอร์พูดถึงเขาว่าเป็น “คนที่อยู่ตรงกลาง เขาเป็นลูกชายของทาสและพ่อค้าทาส การเดินทางของเขาเป็นการเดินทางเพื่อการค้นพบและการเติบโตครับ ฉันเป็นใคร? ฉันเชื่อในสิ่งไหน? ฉันจะยืนหยัดเพื่ออะไร? ฉันอยากจะเป็นใคร? น่ะครับ”
พวกโอโย
ในบท โอบา นายพลของจักรวรรดิโอโย ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองหลักของดาโฮมี จิมมี โอดูโคยากล่าวว่า ตัวละครของเขา “มีอคติ ยกเพศชายให้เป็นใหญ่ เขาไม่มีความเคารพต่อผู้หญิงเลย เขารู้สึกว่าผู้หญิงไม่ควรจะอยู่ในกองทัพ เขาก็เลยดูถูกพวกอะโกเจีย เขารู้สึกรังเกียจแนวคิดของกองทัพผู้หญิง และคุณก็จะได้เห็นความรู้สึกนั้นในทัศนคติและพลังงานที่เขามีต่อนักรบดาโฮมีด้วย เขารับพวกเธอไม่ได้ครับ”
เกี่ยวกับงานสร้าง
การฝึกฝนและงานสตันท์
ด้วยการมีตัวละครนักรบที่แข็งแกร่งเป็นศูนย์กลางของเรื่อง สิ่งสำคัญสำหรับผู้กำกับปรินซ์-ไบธ์วู้ดคือการให้นักแสดงเข้ารับการฝึกในแบบที่ไม่เพียงแต่จะจำเป็นต่อการสวมบทบาทอย่างสมจริงเท่านั้น แต่ยังช่วยพวกเธอในการหาตัวละครของพวกเธอเจอด้วย “อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับนักแสดงที่ได้รับการฝึกฝนมาเองคือมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการซ้อมอย่างแท้จริงน่ะค่ะ” ผู้กำกับกล่าว “มันเป็นวิธีที่พวกเธอช่วยสร้างตัวละครขึ้นมา คุณสามารถสร้างตัวละครเหล่านี้ได้ผ่านเรื่องทางกายภาพได้ เมื่อคุณฝึกหนักเหมือนที่พวกเธอทำ เมื่อคุณเปลี่ยนร่างกาย มันก็จะเปลี่ยนแปลงวิธีเดินของคุณ และวิธีที่คุณแสดงท่าทีด้วยน่ะค่ะ”
ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าวเสริมว่าการฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้การต่อสู้ให้ความรู้สึกสมจริงและเหมือนจริง “ผู้หญิงเหล่านี้เอาชนะผู้ชายได้ตามกฎเกณฑ์ค่ะ” เธอกล่าว “พวกเธอเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่เพราะสิ่งที่พวกเธอทำคือการฝึกฝนค่ะ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 1800s ซึ่งมีวิธีการต่อสู้ด้วยมีดมาเชเต้และหอกอย่างเฉพาะเจาะจง แต่ก็ยังมีการต่อสู้แบบประชิดตัวด้วย และฉันก็ต้องการนำเสนอสิ่งนั้นบนหน้าจอค่ะ”
ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์/ผู้ประสานงานการต่อสู้ แดเนียล เฮอร์นานเดซและหัวหน้าครูฝึกนักแสดงและนักโภชนาการ กาเบรียลลา แม็คเอียนได้ร่วมมือกันเพื่อจัดการฝึกที่จำเป็นต่อนักแสดงที่จะต้องแสดงฉากสตันท์ของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ผมต้องบอกว่าพวกเธอแสดงฉากต่อสู้ของตัวเองประมาณ 90% เลยครับ” เฮอร์นานเดซกล่าว “มีบางฉาก เช่นการกระโดดลงไปในน้ำจากความสูงกว่า 80 ฟุต ที่เราต้องใช้สตันท์ดับเบิล แต่ตอนที่คุณเห็นพวกเธอสู้ นั่นก็คือพวกเธอจริงๆ ครับ”
ในการเตรียมพร้อมเรื่องของความแข็งแกร่งในบทบาทของพวกเธอ นักแสดงเริ่มฝึกหลายเดือนก่อนการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น การฝึกฝนของพวกเธอเกิดขึ้นวันละสองครั้ง หกวันต่อสัปดาห์ “เราเริ่มต้นด้วยการยกน้ำหนัก การออกกำลังกายความเข้มข้นสูงควบคู่ไปกับการพัก มันเป็นการทำให้กล้ามเนื้อกลุ่มหนึ่งหมดแรงแล้วค่อยย้ายไปที่กล้ามเนื้ออีกกลุ่มในทันที” แม็คเอียนกล่าว “โภชนาการมีส่วนสำคัญเช่นกัน พวกเธอต้องยึดติดกับรายการอาหารที่เข้มงวดและต้องกินมากกว่าปกติมาก นั่นคือห้ามื้อต่อวันด้วยโปรตีนจำนวนมากและคาร์โบไฮเดรตต่ำน่ะค่ะ” การฝึกดำเนินต่อไปตลอดกระบวนการถ่ายทำ บางครั้ง ระหว่างเทค แม็คเอียนก็จะเริ่มต้นเซสชันฝึกฝนในกองถ่าย ซึ่งเธอเรียกว่า "การเติมลม"
“ตอนที่ฉันเริ่มฝึกครั้งแรก ฉันคิดว่า 'ไม่มีทางที่ฉันจะผ่านมันไปได้'” เดวิสกล่าว “ฉันอายุ 56 ปี ในขณะที่สาวๆ คนอื่นๆ ทั้งหมดอายุ 30 กว่ากัน แต่หลังจากผ่านไปสองสามสัปดาห์ ฉันก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย ฉันรู้สึกแข็งแกร่งค่ะ”
ผู้หญิงทุกคนได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างกว้างขวางและได้สร้างกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน “กล้ามเนื้อเปรียบเสมือนเกราะที่ปกป้องกระดูก เอ็น กระดูกสันหลัง และข้อต่อของคุณ” แม็คเอียนกล่าว “ยิ่งกล้ามเนื้อคุณแข็งแรงเท่าไหร่ โอกาสบาดเจ็บก็น้อยลง ท่าทางของคุณจะดีขึ้น มันเดินคู่กันไปกับศิลปะการต่อสู้ ดังนั้น ในขณะที่แดนนีฝึกฝนพวกเขาผ่านศิลปะการต่อสู้และการแสดงงานสตันท์ ฉันก็สร้างความแข็งแกร่งเพื่อปกป้องพวกเธอจากการบาดเจ็บค่ะ”
แม็คเอียนทำงานอย่างใกล้ชิดกับเฮอร์นานเดซในขณะที่เขาออกแบบท่าเคลื่อนไหวสตันท์เพื่อที่เธอจะได้ออกแบบตารางการออกกำลังกายของตัวเองเพื่อสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะที่จะรองรับการเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้ “จีนาต้องการให้พวกอะโกเจียดูเหมือนนักรบจริงๆ” แมคเอียนกล่าว “ร่างกายจะไม่ผอมเพรียวเหมือนที่คุณเห็นในโซเชียลมีเดีย เราพยายามทำให้พวกเธอดูสมจริงยิ่งขึ้น มีลุคของนักรบที่แท้จริง ที่แข็งแกร่ง และเป็นธรรมชาติน่ะค่ะ”
ในการออกแบบท่าเคลื่อนไหวสตันท์ เฮอร์นานเดซได้ค้นคว้าวิธีการต่อสู้ของภูมิภาคนั้น เช่น ซูลู “เราพยายามยึดหลักความเป็นจริงในแง่ของสไตล์และการเคลื่อนไหวของพวกเธอ” เขากล่าว “แน่นอนว่าเราได้ยกระดับมัน ด้วยการนำองค์ประกอบจากไอโด ยูโด และกาลี มาสร้างการต่อสู้ที่เน้นตัวละครมากขึ้น อาเมนซา, อิโซกีและนานิสก้าต่างก็มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน ดังนั้น เราจึงต้องการสร้างการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันเพื่อให้พวกเธอแต่ละคนสามารถบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครของพวกเธอได้ดียิ่งขึ้น วิสัยทัศน์ของจีนาคือการนำเสนออารมณ์ ความแข็งแกร่ง พลัง และการทำงานเป็นทีมของพวกอะโกเจียและเธอก็ยืนกรานเรื่องนั้นในกระบวนการฝึกฝนร่างกายด้วย 'ในการเป็นนักรบ คุณต้องฝึกฝนเหมือนนักรบ' น่ะครับ”
ลินช์เห็นด้วย “ถ้าไม่มีการฝึก ฉันไม่คิดว่าฉันจะพบตัวตนของอิโซกีได้เร็วขนาดนี้หรอกค่ะ” เธอกล่าว “ในการฝึกซ้อม ฉันรู้สึกราวกับว่ากำลังเข้าถึงรากเหง้าของตัวเองที่ไม่เคยพบมาก่อน การฝึกทำให้เราดุดันและทำให้เราพร้อมค่ะ”
เฮอร์นานเดซกล่าวว่ารูปแบบการต่อสู้ของนานิสก้าคือการแสดงประสิทธิภาพและสมรรถภาพของเธอในฐานะนักรบที่เก่งกาจที่สุด “เธอไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวพิเศษใดๆ เธอไม่ได้โอ้อวดอะไร สิ่งที่เธอคือการทำหน้าที่ให้สำเร็จ การเคลื่อนไหวของเธอตรงไปตรงมา มีระเบียบ และชาญฉลาดครับ”
เฮอร์นานเดซกล่าวต่อ พลางตั้งข้อสังเกตว่าเดวิสทำงานอย่างเต็มที่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือสำหรับตัวละครของเธอ “ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเธอมาก” เขากล่าว “ความทุ่มเทและการทำงานหนักจะถูกแสดงให้เห็นออกมาครับ”
สำหรับนาวี เฮอร์นานเดซไม่เพียงแต่ต้องออกแบบรูปแบบการต่อสู้ที่ต่างออกไปมากเท่านั้น แต่มันจะต้องเป็นรูปแบบที่จะมีความก้าวหน้าไปตลอดทั้งเรื่องด้วย “คุณไม่สามารถให้เธอเข้าร่วมหน่วยอะโกเจียโดยรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างน่าอัศจรรย์ครับ” เขากล่าว “ด้วยความที่ธูโซ เอ็มบีดูมีรูปร่างเล็ก เราก็เลยสร้างนาวีจนถึงจุดที่เธอสามารถใช้แรงเหวี่ยงของเธอด้วยการหมอบต่ำและโถมตัวเข้าใส่คนอื่นเพื่อเหวี่ยงพวกเขาทิ้งไปน่ะครับ”
เนื่องจากลาชานา ลินช์ ผู้ผ่านประสบการณ์ในการแสดงแฟรนไชส์ภาพยนตร์มาร์เวลและเจมส์ บอนด์ อาจจะเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกลุ่มในแง่ของศิลปะการต่อสู้และการฝึกฝนการแสดงสตันท์ เฮอร์นานเดซจึงได้สร้างสไตล์และการออกแบบท่าเคลื่อนไหวที่จะแสดงทักษะของเธอออกมา “อิโซกีภูมิใจมาก และเมื่อเธอโกรธ เธอก็จะโฟกัสมากเกินไปจนกลายเป็นข้อเสีย เธอต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมสิ่งนั้นเพื่อที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญครับ ลาชานาได้ยกระดับเรื่องนั้นขึ้นไปอีก ไม่ว่าอะไรที่มีคนบอกเธอว่าเธอทำมันไม่ได้หรอก 'มันเป็นไปไม่ได้' เธอก็อยากจะทำมันครับ”
เดวิส, เอ็มบีดูและลินช์ต่างก็ได้รับการฝึกฝนด้านศิลปะการต่อสู้และการใช้มีดมาเชเต้ “มีดมาเชเต้เป็นอาวุธที่เราเลือกใช้ครับ” เฮอร์นานเดซกล่าว “เราสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างกับมันได้ และมันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความดิบเถื่อนของรูปแบบการต่อสู้ได้ด้วยครับ”
นอกเหนือจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แล้ว เอทิมยังได้เรียนรู้การใช้หอกสองคมด้วยเช่นกัน มันเป็นอาวุธที่เข้ากับส่วนสูงของเธอและมีความเชื่อมโยงกับบทบาทของตัวละครทั้งในฐานะนักรบและผู้นำทางศาสนา “ในขณะที่มีดมาเชเต้จะอยู่ในระยะประชิดและมีความเป็นส่วนตัว หอกจะอยู่ห่างออกไปมากหน่อยครับ” เฮอร์นานเดซกล่าว “เนื่องจากตัวละครของเธอเป็นนักบวช หอกจึงเป็นองค์ประกอบที่ดีมากในการแสดงองค์ประกอบทั้งสอง หยินและหยาง ความสมดุล ในขณะเดียวกัน มันก็แสดงให้เห็นด้วยว่าเธอเป็นนักรบที่อันตรายและเหลือเชื่อน่ะครับ”
นอกจากนั้น เฮอร์นานเดซยังฝึกนักแสดงชายด้วยเช่นกัน โดยที่จิมมี โอดูโคยาได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้และการใช้มีดมาเชเต้ และจอร์แดน โบลเจอร์และฮีโร ไฟน์ ทิฟฟินได้เรียนรู้การใช้ปืนคาบศิลาโบราณ
โลเกชันและการออกแบบงานสร้าง
การถ่ายทำ The Woman King เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ “เราถ่ายทำทุกที่เลย ตั้งแต่อีสเทิร์น เคปในควาซูลู นาตาลไปจนถึงใจกลางเมืองเคป ทาวน์” ชูลแมนกล่าว “แอฟริกาใต้มีทุกอย่างที่เราต้องการ ตั้งแต่ทรายไปจนถึงโลเกชันเขตร้อน และทีมงานที่น่าทึ่ง”
“การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ในแอฟริกาใต้คือความสุขในชีวิตของฉัน” วิโอลา เดวิสกล่าว “ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน บ้านคือสามีและลูกสาวของฉัน แม่ของฉัน แต่บ้านยังเป็นชุมชนที่ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ชุมชนที่ฉันไม่ต้องเร่งรีบ หลบซ่อน และต้องหาเหตุผลให้กับการมีอยู่ของฉันเสมอๆ ที่นั่น ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเติบโตจากพื้นดิน ฉันรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนเหล่านั้น ฉันรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลก ท้องฟ้า ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน และฉันไม่คิดว่าคุณสามารถสร้างความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาบนซาวน์สเตจได้ ฉันคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นคนผิวดำและแอฟริกันมากๆ ค่ะ”
ผู้ออกแบบงานสร้าง เอคิน แม็คเคนซีย์และทีมออกแบบของเขาต้องเผชิญกับความท้าทายในการออกแบบภาพยนตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการประดิษฐ์ภาพถ่าย “เรามีแค่ข้อความ คำที่เป็นลายลักษณ์อักษร และภาพประกอบของผู้เคยไปเยือนอาณาจักรแห่งนั้นครับ” เขากล่าว พลางตั้งข้อสังเกตว่าจะต้องพิจารณาบริบทของข้อมูลเหล่านี้ด้วย เพราะภาพเหล่านี้ ซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวอาณานิคม มักจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้กระตุ้นความไม่พอ เยาะเย้ย หรือทำให้เสื่อมเสีย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือลดทอนความเป็นมนุษย์ “ภาพประกอบบางส่วนถูกวาดจากข้อความที่เขียนโดยนักวาดภาพซึ่งไม่เคยไปเยือนทวีปนี้มาก่อนครับ” แม็คเคนซีย์กล่าว
ในการเอาชนะความท้าทายนี้ แม็คเคนซีย์ได้ติดตามร่องรอยของแบบแผนในการค้นคว้าข้อมูล “ถ้าผมเห็นมีการพูดถึงอะไรหลายๆ ครั้งในหลายๆ ที่ ถ้าผมมองเห็นแบบแผนและสามารถเชื่อมโยงมันเข้ากับธรรมเนียมที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันได้ ผมก็เริ่มเชื่อได้แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริงครับ” เขากล่าว การมองหาข้อมูล เจาะลึกลงไปในข้อมูล และไล่ติดตามดูรายละเอียดต่างๆ เป็นกระบวนการที่ซ้ำซากจำเจ น่าหวั่นใจแต่ก็จำเป็นครับ”
แง่มุมสำคัญประการหนึ่งในการออกแบบของแม็คเคนซีย์คือการพัฒนาพาเลตต์สีที่จะสร้างคำนิยามให้กับโลกของดาโฮมี “มันมีความมีชีวิตชีวาของผืนแผ่นดินและคนเหล่านี้ เราจะเห็นได้จากสีแดงของพื้นดินครับ” แม็คเคนซีย์กล่าว “เราเห็นว่ามันถูกเติมเต็มด้วยสีเขียวของธรรมชาติ และเราก็ได้เห็นทั้งโทนสีที่คล้ายคลึงกันและเสริมกันรวมถึงการประดับตกแต่งร่างกายครับ”
คริสตอฟ ดัลเบิร์ก หัวหน้าผู้กำกับศิลป์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ สีแดงจึงกลายเป็นสีหลักของพวกดาโฮมี “นี่คือสีของดาโฮมีของเรา พื้นดินเป็นสีแดง ส่วนผนังก็สร้างจากอิฐตากแห้ง พวกมันทำมาจากดินครับ”
“ดินแดงมีความสำคัญต่อเรา” แมคเคนซีย์กล่าว “คุณจะเห็นและสัมผัสถึงมันได้ทันทีในเมืองอะโบมา เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราที่จะได้เห็นและรู้สึกถึงสิ่งนั้นในอาณาจักรของเรา มันมีความมีชีวิตชีวาที่สะท้อนถึงผู้คนและโลกใบนั้นครับ”
ความท้าทายคือดินสีแดงที่เป็นดินพื้นถิ่นในเบนินและสีอันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรม อาคาร และถนนนั้นไม่อาจหาพบได้ในแอฟริกาใต้ โชคดีที่เหมืองแห่งหนึ่งใกล้เมืองเคปทาวน์มีสีสันตามที่ทีมงานต้องการพอดี
แม็คเคนซีย์กล่าวว่า ดินแดงก็เป็นความท้าทายในตัวมันเองเช่นกัน “มันเป็นการสนทนาในชีวิตประจำวันกับผืนแผ่นดินครับ” เขากล่าว “ดินเป็นสีแดงเพราะมีความเป็นดินเหนียวสูง จากนั้น เราต้องดูว่าดินนั้นทำปฏิกิริยากับความชื้นอย่างไร มันก็จะกลายเป็นดินเหนียว ซึ่งเลอะไปทั่วเท้าของคุณ เราผสมดินสีแดงของจริงกับสารประกอบอื่นๆ ที่ช่วยให้เราสามารถถ่ายทำได้โดยไม่ต้องกลัวองค์ประกอบอื่นๆ น่ะครับ”
ดินสีแดงเป็นฉากสำหรับสถานที่ต่างๆ เช่น พระราชวังดาโฮมี, ค่ายทหารอะโกเจียและพื้นที่ตลาดที่คึกคัก ในบริเวณรอบนอกของพระราชวังมีหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่ง รวมทั้งหมู่บ้านของนาวีด้วย
ในหมู่บ้านแห่งนั้นเองที่แม็คเคนซีย์และทีมงานได้สร้างบ้านไร่ในสไตล์ทาทา ซอมบาแบบดั้งเดิม ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกขึ้นมา “มันเป็นบ้านสองชั้นหลังแรกที่มนุษย์สร้างขึ้น” เขากล่าว “สไตล์และธรรมเนียมแบบนั้นยังคงถูกสร้างขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะมันมีประโยชน์ใช้สอยอย่างเหลือเชื่อ” เขาตั้งข้อสังเกตว่า กำแพงที่สร้างอิฐและโคลนยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาที่แยบยล “มันรักษาความเย็นได้ท่ามกลางความร้อน มันรักษาความอุ่นได้ในอากาศหนาว มันได้รับการห่อหุ้มป้องกันจากสภาพอากาศ เกือบจะเหมือนกับเป็นป้อมปราการเล็กๆ ในตัวมันเองเลย บนชั้นสอง จะมีพื้นที่เล็กๆ ตรงกลางที่เด็กและผู้สูงอายุนอนหลับ โดยที่พวกเขาจะได้รับการป้องกันจากโลกภายนอก”
สำหรับตลาดในบริเวณพระราชวัง แม็คเคนซีย์ได้สร้างฉากที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ ซารา เบนเน็ตต์พูดถึงว่า ซับซ้อนแต่มีขนาดเล็ก ในการสร้างภาพของตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ เบนเน็ตต์ได้ขยายฉากออกไปด้วยวิชวล เอฟเฟ็กต์
สิ่งที่ตั้งสูงตระหง่านเหนือพื้นที่ตลาดคือประตูใหญ่ที่เปิดนำไปสู่วัง ซึ่งสลักเสลาด้วยตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงรัชสมัยของกษัตริย์เกโซ ดัลเบิร์กกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้มีที่มาจากการค้นคว้าข้อมูลทั้งสิ้น “ทั้งประตู งานเก็บรายละเอียด ภาพนูน และงานปูนปลาสเตอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่และเป็นส่วนหนึ่งของระบบวัฒนธรรมนี้ทั้งนั้นครับ” เขากล่าว
สำหรับตัวพระราชวังเอง แม็คเคนซีย์ได้สร้างฉากขนาดใหญ่ขึ้น พลางตั้งข้อสังเกตว่าพระราชวังอะโบมาและดาโฮมีของจริงนั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก “แม้ว่าอาณาจักรของเราจะใหญ่โต แต่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของขนาดของจริงในเวลานั้น” เขากล่าว “พวกเขามีประชาชน 30,000 คนที่อาศัยอยู่หลังกำแพงเหล่านั้น และในอาณาจักรทั้งหมดก็มีคน 350,000 คน”
สิ่งที่ตรงข้ามกับอาคารดาโฮมีสีแดงคือเมืองท่าเวดาห์ ซึ่งเป็นสถานที่ในการค้าทาส แม็คเคนซีย์ได้ออกแบบเวดาห์มาให้รองรับอิทธิพลจากทั้งสองโลก “ในเวดาห์ มีป้อมปราการและอาคารเฉพาะที่สร้างขึ้นสำหรับและโดยชาวยุโรป แต่บ่อยครั้งที่พวกมันจะถูกสร้างขึ้นโดยแรงงานกลุ่มเดียวกับที่มีอยู่ที่นั่นแล้ว” เขากล่าว “ดังนั้น ก็เลยมีหลังคามุงจากและอิฐอยู่ในเวดาห์คู่กันไปกับท่าเรือด้วย เวดาห์พบเจอกับผู้คนจากหลากหลายประเทศในยุโรปที่ปรากฏตัวบนชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เพื่อมองหาโอกาสของตนเองหรือโอกาสที่จะร่ำรวย แล้วก็ยังมีความสิ้นหวังของประชากรพื้นเมืองที่มุ่งหน้าไปเวดาห์เพื่อแสวงหาโอกาสเช่นกัน” ป้อมปราการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันนั้น “มันเป็นสีเหลืองซีด” เขากล่าว “ผมรู้สึกเหมือนนี่เป็นสังคมที่ป่วย และผมคิดว่าคุณรู้สึกได้ด้วยสายตา ขณะที่ในอะโบมา คุณจะรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาและสุขภาพดีครับ”
เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบฉาก
เกอร์ชา ฟิลลิปส์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายกล่าวว่า The Woman King เป็นตัวแทนของภาพยนตร์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างช้าๆ “ฉันรอมาทั้งชีวิตเพื่อออกแบบโปรเจ็กต์นี้” เธอกล่าว “หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกว่าน่าจะเป็นจุดสุดยอดของทุกสิ่งที่ฉันเคยทำมาก่อน การทำความเข้าใจร่างกายเหล่านั้นและแต่งตัวให้ร่างกายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ฉันในฐานะผู้หญิงผิวสีสามารถทำได้ ฉันเข้าใจได้โดยสัญชาตญาณถึงรูปทรงต่างๆ มากมายของเราและสีสันต่างๆ มากมายน่ะค่ะ”
เช่นเดียวกับการออกแบบงานสร้าง สีสันก็บอกเล่าเรื่องราวเช่นกัน “ในโลกของดาโฮมี มีสีสันเฉพาะที่จะหมายถึงสิ่งที่แตกต่างกันออกไป” ฟิลลิปส์กล่าว “คำสั่งของจีนาคือการทำให้โลกนี้ชุ่มฉ่ำ ดังนั้น เราก็เลยใช้สีสันในการสร้างโลกที่สดใส อุดมสมบูรณ์ และสวยงาม สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการแสดงความสง่างามภายในอาณาจักรนี้น่ะค่ะ”
สำหรับนักรบอะโกเจีย ฟิลลิปส์ได้ออกแบบเครื่องแบบต่อสู้ของอะโกเจีย ซึ่งทำจากผ้าเกาะอกสีแดง เพื่อใช้ผูกหน้าอก และกางเกงขาสั้นที่มีกระโปรงพันรอบตัว กระโปรงดังกล่าวผลิตขึ้นในแกมเบียโดยช่างฝีมือผู้ฝึกฝนการทำผ้าบาติกและการพิมพ์ผ้าด้วยบล็อกสีครามแบบดั้งเดิมมาหลายปี
ตัวละครแต่ละตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงลำดับยศ เรื่องราวเบื้องหลัง หรือบทบาทในอาณาจักรดาโฮมี และนักแสดงแต่ละคนก็มีส่วนร่วมในการปรับแต่งเครื่องแต่งกายของพวกเธอเอง ตัวอย่างเช่นนานิสก้า มีกานอน (คู่กับมีกาน นายพลเพศชาย) จะเป็นคนเดียวที่ใส่เกราะอกร่วมกับชุดออกรบ ก่อนหน้าที่การออกแบบจะเสร็จสมบูรณ์ ฟิลลิปส์ก็เหมือนกับนักออกแบบคนอื่นๆ ที่คำนึงถึงอิทธิพลที่เป็นไปได้ของผู้ล่าอาณานิคมชาวตะวันตก ตัวอย่างเช่น แม้ว่าจะมีหลักฐานของเกราะอกที่ประดับประดาด้วยเปลือกหอย ด้วยการที่นักรบอะโกเจียได้สวมเกราะอกแบบนั้นตอนที่ปรากฏตัวขึ้นในงานเวิลด์ แฟร์ การค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมกลับบ่งชี้ว่า สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ของพวกยุโรป ฟิลลิปส์กล่าวต่อว่า “เราได้ไอเดียเกี่ยวกับเกราะอกที่จะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่านี้เล็กน้อย และอาจเป็นสิ่งที่พวกเธออาจมีได้ในตอนนั้นน่ะค่ะ”
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ความก้าวหน้าของเด็กฝึกอะโกเจียจะถูกวัดค่าจากเข็มขัด ที่จะถูกยกระดับขึ้นเมื่อพวกเธอได้รับการยอมรับสู่ความเป็นพี่น้องกัน ฟิลลิปส์ได้ร่วมมือกับผู้จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก เคอร์รี วอน ลิลเลนเฟลด์ ในการปรับแต่งเข็มขัดให้เหมาะกับนักแสดงแต่ละคนอีกครั้ง “เราได้สร้างสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน และนักแสดงแต่ละคนก็สามารถเลือกได้ อิโซกีสวมเข็มขัดไขว้สองชั้นในขณะที่อาเมนซาสวมเข็มขัดที่ไขว้กันขั้นเดียว” ฟิลลิปส์กล่าว “นอกจากนี้ พวกเธอยังมีเครื่องประดับต่างๆ ที่พวกเธอจะสวมใส่ตามลำดับยศของพวกเธอด้วยค่ะ”
ภายในกำแพงวัง พวกอะโกเจียจะสวมเสื้อคลุม “เราทอผ้าเหล่านี้ในกานาค่ะ” ฟิลลิปส์กล่าว โดยเฉพาะในหมู่บ้านโบลกาทังกาและพื้นที่โดยรอบ ที่ซึ่งช่างทอ 9 คนได้ทอผ้าเหล่านี้ขึ้นมา “นี่เป็นผ้าทอลายทาง ซึ่งเป็นเนื้อผ้าเฉพาะจากแอฟริกาตะวันตก” เธอยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า นานิสก้า, อิโซกีและอาเมนซาได้แสดงสถานะของพวกเธอด้วยลวดลายปักบนเสื้อคลุม
เมื่อทหารเกณฑ์ได้ผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้ว พวกเธอก็จะเข้าสู่พิธีกรรมที่ผูกมัดพวกเธอกับความเป็นพี่น้องของกองทัพอะโกเจีย นั่นคือพิธีสาบานเลือด ซึ่งกระทำโดยการสวด "เลือดของพี่น้องของเรา" สำหรับปรินซ์-ไบธ์วู้ด “เลือดของพี่น้องของเราเป็นการผูกสายสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณของผู้หญิงเหล่านี้ ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นอะโกเจีย และพวกเธอก็ได้ผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้ว นี่เป็นตอนที่พวกเธอจะมารวมตัวกันในฐานะพี่น้อง และหลอมรวมพวกเขาในทางจิตวิญญาณน่ะค่ะ” สำหรับฉากนี้ ฟิลลิปส์ได้ให้พวกอะโกเจียสวมชุดสีขาวหลากหลายแบบ ซึ่งปรินซ์-ไบธ์วู้ดอนุมัติ “ฉันรักมันเพราะเราเคยเห็นมันแค่ด้านเดียว นักรบเหล่านี้ สาวๆ สุดเจ๋งพวกนี้ที่ต่อสู้และเข่นฆ่าน่ะค่ะ” ผู้กำกับกล่าว “แต่ตรงนี้ พวกเธอทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีขาวสวยงามและสวดภาวนาต่อพระเจ้า มองดูกันและกันและรู้สึกถึงความเป็นพี่น้องกันเป็นครั้งแรก”
ในฐานะตัวละครที่ร่ำรวยที่สุด กษัตริย์เกโซและชายาของเขามีเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงความมั่งคั่งของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กษัตริย์เกโซเป็นตัวละครเพียงตัวเดียวที่สวมรองเท้าแตะ และความมั่งคั่งของพระชายาก็ถูกแสดงให้เห็นผ่านปริมาณผ้าที่พวกเขาสวมใส่ “เครื่องแต่งกายของพวกเขามักจะใช้ผ้าจำนวนมากเสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งค่ะ” ฟิลลิปส์กล่าว
นักรบอะโกเจียแต่ละคนจะใช้อาวุธเฉพาะสำหรับตัวละครของพวกเธอ นักแสดงหญิงแต่ละคนได้ร่วมมือกับ เคอร์รี วอน ลิลเลนเฟลด์ ผู้จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก ในการเลือกแบบดีไซน์มีดมาเชเต้หรือหอกที่จะบ่งบอกถึงบุคลิกของตัวละครได้ดีที่สุด มีการค้นคว้าข้อมูลและใช้ความคิดมากมายในการสร้างอาวุธของพวกอะโกเจีย “ตอนที่ผมโตมากับการดูหนัง อาวุธเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดเสมอ” วอน ลิลเลนเฟลด์กล่าว “ในหนังเรื่องนี้ เราได้สร้างอาวุธที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน” เขาตั้งข้อสังเกตว่า นักรบอะโกเจียส่วนใหญ่พกมีดมาเชเต้ “แต่ไม่ใช่มีดมาเชเต้ตามแนวคิดของคุณหรอกนะครับ มันสวยงาม วิจิตรบรรจง พร้อมด้ามจับที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม”
การสร้างอาวุธเป็นงานที่ซับซ้อน “เราเริ่มต้นด้วยการสร้างอาวุธเหล็ก ซึ่งแทบจะไม่ได้ถูกใช้เลย” ฟอน ลิลเลนเฟลด์กล่าว อาวุธเหล็กนั้นถูกใช้เพื่อสร้างแม่พิมพ์ ซึ่งทำให้พวกมันสามารถสร้างอาวุธประกอบฉากต่างๆ สำหรับการใช้งานที่แตกต่างกันได้ “สำหรับงานขว้าง พวกใบมีด เราใช้อลูมิเนียม แล้วก็มีใบมีดไนลอน พลาสติกแข็ง ใบมีดยางสำหรับตอนที่มีการสัมผัสใกล้ชิด สำหรับมีดมาเชเต้ของนักรบแต่ละคน เราก็จะมีใบมีดเตรียมไว้เป็นแถวๆ เลยครับ”
ทรงผมและการแต่งหน้า
หลุยซา วี แอนโธนี หัวหน้าแผนกทรงผม กล่าวว่า เธอ “รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกแบบทรงผมที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ของเรา วัฒนธรรมของเรา และเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีอำนาจ และคนที่เราจะเป็นสำหรับอนาคตของเราด้วยค่ะ”
“เรารู้ว่าทรงผมจะเป็นส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “คนเหล่านี้คือผู้หญิงผิวดำ นักรบ และทรงผมของพวกเธอควรสะท้อนถึงสิ่งนั้น การสนทนาครั้งแรกของฉันกับนักแสดงทุกคนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคิดไอเดียรื่องทรงผมและการนำเสนอตัวละครของพวกเธอผ่านทรงผมค่ะ”
แนวทางของแอนโธนีคือการผสมผสานวัฒนธรรมการถักเปีย 500 ปีให้กลายเป็นลุคที่ผู้ชมในปัจจุบันจะชื่นชม “เพราะนี่ไม่ใช่สารคดี ฉันก็เลยสามารถมองภาพรวมของแอฟริกาได้ โดยระลึกไว้เสมอว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในแอฟริกาตะวันตกน่ะค่ะ” เธอกล่าว
บาบัลวา เอ็มชิเซลวา นักออกแบบการแต่งหน้าและชิ้นส่วนเทียมชาวแอฟริกาใต้ตั้งข้อสังเกตว่า เธอหลงใหลในวัฒนธรรมแอฟริกันมาหลายปีแล้ว และด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับประชากรจากหลากหลายที่ “เนื่องจากเรื่องราวนี้สร้างจากคนจริง ในสถานที่จริง มันก็เลยทำให้จุดเริ่มต้นของการค้นคว้าข้อมูลเป็นเรื่องง่ายมาก” เธอกล่าว “ฉันพยายามอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะให้เกียรติคนเหล่านี้น่ะค่ะ”
จาไมก้า วิลสัน ช่างทำผมส่วนตัวของวิโอลา เดวิส ได้ร่วมมือกับแอนโธนีและปรินซ์-ไบธ์วู้ดในการออกแบบลุคของนานิสก้า “เราต้องการให้วิโอลาโดดเด่นออกมา” วิลสันกล่าว “เราตัดสินใจเลือกลุคโมฮอว์คผมเปีย โดยได้รับแรงบันดาลใจจากลุคที่เคยเห็นในศตวรรษที่ 19 เราใช้ทรงผมโมฮอว์คตลอดทั้งเรื่อง เช่นในตอนที่นานิสก้าอยู่ในสนามรบ คุณก็รู้ เพราะผมของเธอก็จะรวบขึ้น เธอคือนักรบที่พร้อมจะต่อสู้ แต่เมื่อเธออยู่ในวัง ผมเปียของเธอก็จะถูกคลายออกให้สบายๆ น่ะค่ะ”
เซอร์จิโอ้ โลเปซ-ริเวรา ช่างแต่งหน้าส่วนตัวของเดวิส ได้ร่วมมือกับเอ็มชิเซลวา ไม่เพียงแต่เพื่อสร้างลุคที่โดดเด่นไม่เหมือนใครสำหรับนักแสดงหญิงเท่านั้น แต่เขายังได้สร้างรอยแผลเป็นเทียมที่นักรบผู้นี้ได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย “แผลเหล่านั้นทำให้ผู้ชมทราบประวัติย้อนหลังของเธอโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเลย” เขากล่าว
สำหรับทั้งเอ็มชิเซลวาและแอนโธนี การเล่าเรื่องผ่านทรงผมและการแต่งหน้าคือการศึกษาภูมิหลังและบุคลิกภาพของตัวละครแต่ละตัว เอ็มชิเซลวาเล่าถึงวิธีการทำเช่นนี้ด้วยการคำนึงถึงการเดินทางของนาวีในเรื่องราว ทั้งแผนกทำผมและแต่งหน้าได้สร้างการเดินทางสามระดับสำหรับนาวี โดยแต่ละระดับจะส่งผลต่อการพัฒนาของเธอในเรื่อง “เธอเริ่มต้นจากการเป็นเด็กสาวในหมู่บ้าน ที่คอยดูแลทุกคน และไม่มีใครห่วงใยดูแลเธอจริงๆ ดังนั้น ฉันจึงอยากให้เธอดูสวยเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องแต่งใต้ตาให้มากนัก ในตอนแรก มันเป็นการแต่งหน้าแบบพื้นฐานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ”
แอนโธนีเน้นย้ำเรื่องนี้ด้วยการชี้ให้เห็นว่านาวีถักเปียผมของเธอเอง ซึ่งพูดถึงง่ายๆ ได้ว่า “ลุคที่ดูกระเซิงอย่างเป็น
ธรรมชาติมากๆ” เธอกล่าว
เมื่อนาวีเข้าเป็นทหารเกณฑ์ แอนโธนีและเอ็มชิเซลวาก็ยกระดับภาพลักษณ์ของเธอ “เมื่อเธอเข้าร่วมหน่วยอะโกเจียในฐานะทหารฝึกหัด เราก็เห็นผมเปียของเธอถูกถักโดยอะโกเจียอีกคน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่อะโกเจียมีร่วมกัน คุณสามารถเห็นได้ว่าตัวละครของเธอภาคภูมิใจในตัวเอง” แอนโธนีกล่าว “ผู้คนรอบข้างรักเธอและห่วงใยเธอ ซึ่งแตกต่างจากชีวิตในฟาร์มของเธอมาก”
ต่อมาภายหลัง ในฐานะอะโกเจีย ผมและการแต่งหน้าของนาวีจะบ่งชี้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ ในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมการถักเปียในแอฟริกาอาจเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง สถานะทางสังคมของผู้หญิง และบ่งบอกว่าเธอแต่งงานแล้วหรือไม่ ในทำนองเดียวกัน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ลำดับขั้นต่างๆ ของตัวละครจะสะท้อนให้เห็นจากทรงผมของพวกเธอ “ผู้เข้ารับการฝึกฝนจะปรากฏตัวด้วยการถักเปียที่เรียบง่ายกว่า ในขณะที่ผู้หมวดและอะโกเจียที่มียศสูงกว่า จะมีเปียที่ซับซ้อนและประดับประดามากกว่า ด้วยการใช้เปลือกหอยและลูกปัดค่ะ” แอนโธนีกล่าว
สำหรับโอบา นายพลผู้บัญชาการของพวกโอโย เอ็มชิเซลวาได้สร้างลุคที่น่าสะพรึงกลัวบนรูปประติมากรรมโอโย ด้วยการให้เขามีจะงอยปากของอีกาอยู่ในหูข้างหนึ่ง นอกเหนือจากนั้น ตัวละครตัวนี้ยังมีแผลเป็นบนใบหน้า ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติและประเพณีตามปกติในกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆ ของแอฟริกาตะวันตกที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ เอ็มชิเซลวาอธิบายว่า "เขามีชิ้นส่วนเทียมตรงหู ที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างติ่งหูที่ยืดออก แล้วเคอร์รี ผู้จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉากก็จะสร้างจะงอยปากของอีกาขึ้นมา"
ในการสร้างทรงผมสำหรับไฟน์ ทิฟฟินและโบลเกอร์ แอนโธนีให้นักแสดงสวมวิกผมยาว ซึ่งแสดงถึงทรงผมแบบยุโรปในขณะนั้น “ผมไม่เคยใส่วิกมาก่อน” ไฟน์ ทิฟฟินกล่าว “มันเป็นองค์ประกอบที่เปลี่ยนแปลงตัวคุณได้มากที่สุดเท่าที่คุณสามารถเพิ่มเติมได้ ทันทีที่คุณใส่วิก มันก็เปลี่ยนบุคลิกคุณไปเลย มันช่วยได้เยอะเลยครับ”
ดนตรี
สำหรับดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ปรินซ์-ไบธ์วู้ด ได้ร่วมงานกับนักแต่งเพลง เทอร์เรนซ์ บลังชาร์ด ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับผู้กำกับผู้นี้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Love and Basketball ปี 2000 ของเธอ ผลงานของบลังชาร์ด ผู้มีชื่อเสียงในฐานะนักเป่าทรัมเป็ตแจ๊สและคว้ารางวัลแกรมมีไปได้ถึง 6 รางวัล ผสมผสานแนวเพลงต่างๆ เข้าด้วยกัน ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สองครั้งจากผลงานเรื่อง Da 5 Bloods และ BlacKkKlansman ของสไปค์ ลีและโอเปราของเขาเรื่อง “Fire Shut Up in My Bones” ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ต่อมาได้กลายเป็นโอเปราเรื่องแรกโดยนักแต่งเพลงผิวสีของนิวยอร์ก เมโทรโพลิแทน โอเปรา
“ความสร้างสรรค์ของเขา พลังในดนตรีของเขา เป็นความร่วมมือที่ดีระหว่างเราค่ะ” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “ฉันรู้ว่าฉันต้องการสิ่งที่แตกต่างไปจากดนตรีประกอบนี้ ฉันต้องการให้มันมีความโดดเด่นไม่เหมือนใครเหมือนกับหนังเรื่องนี้ นี่เป็นหนังที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และในการพูดคุยกับเทอเรนซ์ เห็นได้ชัดว่าเรามีแนวความคิดแบบเดียวกันเกี่ยวกับองค์ประกอบประเภทที่เราต้องการจะผสมผสานเข้ากับดนตรีน่ะค่ะ”
ตัวผู้กำกับกล่าวว่า บทสนทนาในช่วงแรกๆ เหล่านั้นส่งผลให้เกิดองค์ประกอบทางดนตรีที่มีความหลากหลาย “ฉันอยากให้มันให้ความรู้สึกอลังการ มันเป็นแอ็กชัน-ดรามาอีพิคอิงประวัติศาสตร์ ดังนั้น มันก็ควรจะให้ความรู้สึกที่อลังการของหนังประเภทนั้น ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครบอกเล่า ซึ่งถูกบอกเล่าเป็นครั้งแรกโดยคนที่มีหน้าตาเหมือนฉัน ดังนั้น ดนตรีก็ควรจะให้รู้สึกถึงวัฒนธรรมและความเป็นดนตรีออเคสตรา เสียงควรเป็นส่วนสำคัญของดนตรีประกอบเรื่องนี้ เพื่อนำความเชื่อมโยงทางอารมณ์และลำคอนั้นมาสู่บรรพบุรุษของเรา และถึงแม้มันจะเกี่ยวข้องกับธีมที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ แต่มันก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้หญิงเหล่านี้อย่างเหลือเชื่อด้วย ดังนั้น ดนตรีประกอบของเรื่องก็ควรสะท้อนถึงสิ่งนั้นด้วย บทสนทนาเหล่านั้นน่าตื่นเต้นเพราะเราต่อเติมความคิดของกันและกันค่ะ”
ด้วยเหตุนี้ บลังชาร์ดจึงทำงานร่วมกับวงออร์เคสตราและคณะนักร้องประสานเสียงเต็มรูปแบบ “เรามักจะคิดว่าวงออเคสตราเป็นแนวความคิดของยุโรป แต่นั่นไม่ใช่เลยครับ” บลังชาร์ดกล่าว “วงออร์เคสตราสามารถเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้กระตุ้นอารมณ์ได้ทุกประเภท สิ่งที่ยอดเยี่ยมในการทำงานของผม ไม่ใช่แค่ในหนังเท่านั้น แต่รวมถึงในโอเปราและแจ๊สด้วย คือการที่ผมสามารถทดลองและเรียนรู้จากแนวเพลงต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดและมันมารวมกันได้อย่างง่ายดายครับ”
บลังชาร์ดได้รวมเอาเครื่องดนตรีนั้น หรือออร์เคสตรา มาหลอมรวมกับ “องค์ประกอบทางชาติพันธุ์และจังหวะที่มีอยู่ในยุคสมัยนั้น” เขากล่าว “ดนตรีนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมเสมอ ด้วยความที่ผมจากเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นแหล่งหลอมรวมวัฒนธรรมแอฟริกัน คิวบา สเปน และฝรั่งเศส ผมก็เลยโตมากับการฟังเพลงประเภทต่างๆ มากมาย อิทธิพลเหล่านั้นซึมลึกอยู่ในกระดูกของผมและในที่สุด ก็ถ่ายทอดออกมาเป็นดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ของผมครับ”








