เด็กผู้ชายล้วนรู้จัก Dragon Ball ไม่ว่าจะในสถานะไหน ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ Dragon Ball คือไอคอนของการ์ตูนโชเน็นในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งและอาจลากยาวมาจนสมัยนี้ชนิดที่ไม่ว่าจะมีเรื่องดังขนาดไหนมาผงาดง้ำทำเป็นเทียบ ก็ยังไม่อาจลบภาพจำของ Dragon Ball ออกไปได้หมดจด

ถึงแม้อาจจะไม่เท่าสมัยพีค ๆ แต่ Dragon Ball ก็ยังคงมีผู้คนติดตามอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะเหล่าเด็กโข่งทั้งหลายทั้งแหล่ อีกทั้งตัวซีรีส์เองก็มีการปรับหลาย ๆ อย่างให้เข้ากับยุคสมัยอยู่ตลอด ทำให้ตัวมันสามารถรักษาระยะยืนไว้ได้อย่างน่าดูชม ขณะที่ตัวจักรวาลของมันก็มีการขยายอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งมันส่งผลหลาย ๆ อย่างและทำงานกับตัวมูฟวี่ภาคนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอีสเตอร์เอ๊กหรือ Lore ต่าง ๆ ได้อย่างดี
ตัวผมเองที่ดูจบแค่ GT ร้องเพลงแดนแดนก่อนจะเลิกราไปติดซีรีส์อื่น พอได้กลับมาดูมันอีกครั้งก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวซีรีส์มีความลึกขึ้นและน่าค้นหามากขึ้นในแง่ของ World Setting คือเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรหรอก ออกจะเรียบง่ายด้วยซ้ำ เพียงแต่เรารับรู้ได้ว่าโลกของ Dragon Ball มันจับต้องได้มากกว่าเดิม และมีดีเทลน่าสนใจที่ส่งกลิ่นล่อให้เราอยากกลับมาติดตามมันอีกรอบอย่างชัดเจน

สำหรับภาคนี้ตัวมูฟวี่ชัดเจนว่าพวกเขาต้องการจะเล่าเรื่องของ 2 ตัวละครที่เคยยิ่งใหญ่แต่กลับไม่ถูกดันต่ออย่างน่าเสียดาย คนหนึ่งคืออดีตบอสใหญ่ผู้ผันตัวมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก อีกคนคือชายผู้จัดการเซลล์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ใช้แล้วครับ พิคโกโร่ และ โกฮังนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ตัวหนังจึงเลือกที่จะตัดโกคูกับเบจิต้าออกไปจากเส้นเรื่องเลย เพื่อให้เราได้เห็นพัฒนาการของทั้ง 2 ตัวเอกที่จะชัดเจนขึ้นก็ต่อเมื่อไม่มีใครคอยมาช่วยคุ้มกะลาหัวอีกแล้ว
ที่จริงต้องบอกว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย มู้ดแอนด์โทนเรื่องก็ไม่ได้ตึงเกินไปนัก เพราะแทบทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่ามันจะจบแบบไหน ดังนั้นผมว่าทีมงานฉลาดที่เลือกเวย์เล่าเรื่องแบบนี้ พร้อมจัดเต็มฉากต่อสู้ที่จัดมาให้แบบหนักๆ อิ่มแปล้เต็มท้องแบบที่แฟนๆ น่าจะพอใจพลางรู้สึกว่ามูฟวี่จากการ์ตูนที่รักที่คุ้นเคยก็ขอแค่นี้แหละ แค่มันสนุกก็พอแล้ว ยิ่งพอดูกับโรง IMAX มันยิ่งตอกย้ำว่าหนังที่ฉากบู๊เบิ้มๆ แบบนี้มันก็ควรต้องดูกับจอโรงหนังที่เบิ้มแๆ จริงแๆ ไปรอดูอยู่ที่บ้านคงไม่ได้ฟีลลิ่งแบบนี้เป็นแน่
นอกจากฉากต่อสู้สุดมันส์ สุดเดือด ขนลุกทั้งตัวแล้ว ผมรู้สึกสนใจงานภาพที่ใช้ในเรื่อง เพราะคิดว่ามันเป็นจุดลงตัวระหว่าง 2D และ 3D คือมีความลื่นไหล แต่ยังเก็บดีเทลได้อย่างดี ถ้ามันจะมาเป็นอะไรที่แทน 3D เพียว ๆ ได้คงดีไม่น้อย ในขณะที่เพลงประกอบมันอาจไม่ได้โดดเด้ง แต่ก็ใส่เข้ามาล้อกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
ผมเห็นเหล่าแฟน ๆ Dragon Ball เดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ก็มาคุยกันต่อถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง รวมไปถึงอีสเตอร์เอ๊กต่าง ๆ ที่เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง มันสะท้อนเลยว่าแม้หนังจะจบไปก็ยังมีตะกอนบางอย่างให้แฟน ๆ ได้คุยกันต่อถึงความเชื่อมโยงกับเส้นเรื่องอื่นๆ ในขณะที่ผมเองซึ่งไม่ใช่แฟนก็รู้สึกว่าไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไร เพราะตัวมูฟวี่ก็ยังมีความสนุกในตัวและทำได้ดีตามความคาดหวัง ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเดนตายหรือไม่ กับ Dragon Ball Super: Super Hero ถ้าคุณอยากดูอนิเมะมูฟวี่บู๊มันส์ ๆ เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน ยังไงเรื่องนี้ก็เหมาะกับคุณแน่นอนครับ

ขอขอบคุณ Major Cineplex ที่เอื้อเฟื้อการรับชมภาพยนตร์ครั้งนี้ครับ