Doctor Strange in the Multiverse of Madness น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่แฟนมาร์เวลารอคอยกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในเฟสที่ 4 จากการที่มัน “ดูจะ” เป็นผลลัพท์ของการสะสมพลังเรื่อง “พหุจักรวาล” หรือ “มัลติเวิร์ส” มาจากงานก่อนหน้าหลายๆ เรื่อง และคล้ายว่าจะมาขมวดปมเป็นเรื่องราวยิ่งใหญ่ในภาคนี้ พร้อมเปิดตัวตัวละครใหม่ๆ มากมายก่ายกอง…
ถ้ามาดูด้วยความรู้สึกแบบนั้นเต็มเปี่ยมบางทีคุณอาจจะผิดหวังก็ได้ เพราะเรื่องนี้แตะประเด็นมัลติเวิร์สเพียงผิวๆ แต่เน้นไปที่การแก้กรรมแก้ปมของตัวละครอย่าง Doctor Strange และ Wanda รวมไปถึงการแนะนำตัวละครที่น่าจะมีบทบาทอีกยาวๆ อย่าง American Chavez มากกว่า
ซึ่งผลที่ออกมามันทำให้ตัวหนังชัดเจนในไดเรคชั่น ไม่วอกแวกหรือเยิ่นเย้อเกินจำเป็น และทำให้ตัวของ Doctor Strange มีที่ทางใน MCU ที่แข็งแรงขึ้นและพร้อมไปต่อได้อย่างน่าติดตาม อีกทั้งรสชาติสยองขวัญเบาๆ ที่ Raimi ใส่เข้ามาในเรื่องนี่มันชูรสได้อร่อยลิ้นจริงๆ
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
Doctor Strange in the Multiverse of Madness ดำเนินเรื่องต่อจาก Spider-Man: No way Home ซึ่งสิ่งที่ผู้ดูควรทำการบ้านมาก่อนก็คือการไล่ดู Spider-Man MCU 3 ภาค, ซีรีส์ Wando Vision และรู้เรื่องของพหุจักรวาลของ MCU อยู่บ้าง ส่วนใครไม่เคยติดตาม MCU เลย เรื่องนี้ยังไงก็ไม่เหมาะแน่นอนตัดทิ้งไปซะไม่ต้องไปดู
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าหนังเรื่องนี้ชัดเจนในตัวเองว่าจะเล่นเรื่องไหนและจบยังไง พหุจักรวาลจึงเป็นเพียงทางผ่านสำหรับการเคลียร์ปมคาใจของทั้ง 3 ตัวละคร ในความหมายของคำว่า Madness มันอาจไม่ได้หมายถึงความบ้าคลั่งของไทม์ไลน์ที่ชนกันอิรุงตุงนัง แต่อาจหมายถึงความคลั่งและบ้าบอที่ Strange ต้องพบเจอตลอดการเดินทาง แม้กระนั้นการที่ให้เราได้เห็นมัลติเวิร์สอื่นๆ และมีตัวละครที่พร้อมเปิดมิติอย่าง American Chavez เพิ่มเข้ามา ตอนนี้ต้องบอกว่าจะเล่นอะไรก็ได้แล้วสำหรับ MCU ความเป็นไปได้ต่างๆ เพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมาย
ตัวหนังยาวเพียง 2 ชั่วโมง 6 นาที ทั้งๆ ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะแยะ นั่นหมายความว่าตัวหนังที่ทำให้กระชับและเดินเรื่องรวดเร็วพอสมควร ทำให้อารมณ์ไม่ขาดช่วงนัก แถม Sam Raimi ก็เก่งเรื่องประคองอารมณ์ร่วมคนดูอยู่ตลอด ไม่ยอมให้คนดูหลุดโฟกัสเกินงาม อาจมีช่วงที่ตัดต่อแปลกๆ เหมือนโดดข้ามนิดๆ หรือเล่าเรื่องไม่สมูธในบางจุดอยู่บ้าง แต่ก็ได้อารมณ์คอมิคอเมริกันแบบแปลก คือรู้สึกว่าไม่ลื่นนิดๆ แต่ก็ไม่ติดใจอะไรมากมาย แปลกเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้คือการกำกับของ Raimi ที่พาเอาลายเซ็นต์และสไตล์รวมไปถึงช็อตทริบิวต์งานเก่าๆ ของตัวเองมาใส่ไว้ในหนังได้อย่าง ฉูดฉาดแต่ก็กลมกล่อม ทั้งยังไม่รู้สึกว่าฝืนมากนัก กลายเป็นรสชาติใหม่ที่แปลกลิ้นแต่ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นกับแฟรนไชส์ไม่เบา โดยเฉพาะพวกฉากสยองขวัญเบาๆ ที่ทำเอานึกถึงบรรยากาศ Evil Dead หรือ Drag me to hell บางๆ รวมไปถึงมุมกล้องเวียร์ดๆ และฉากโหดไม่ออกสื่อที่เกือบๆ จะพาหนังเกินเรต PG-13 จนแอบเซอร์ไพรซ์ว่า Disney ก็ให้ผ่านด้วยเหรอแบบนี้ แต่ดีแหละชอบ!
ซึ่งแน่นอนว่าจะสัมผัสบรรยากาศ งานภาพ และเสียงได้เต็มอารมณ์แบบนี้ก็ต้องภายในโรงภาพยนตร์ดีๆ เท่านั้น ถ้าไหวก็ IMAX ไปโลด เต็มตาเต็มอารมณ์แน่นอนครับ!
แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะชอบหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่ผมไม่เอนจอยนักและอาจจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างก็คงเป็นสเกลพลังตัวละครที่ดูเหวี่ยงๆ ชอบกล หรือการตีความพลังของหลายๆ ตัวอย่างพวกจอมเวทจากคามาทาร์จที่คงเก่งกว่าชาวบ้านถาโหลหน่อยนึง แต่ขัดใจสุดคงเป็น Wanda AKA Scarlet Witch ตัวละครที่เนื้อเรื่องสำทับเหลือเกินว่าโคตรเก่งไม่มีใครเอาอยู่ ซึ่งจริงๆ นางก็มีช็อตโชว์ว้าวเยอะมากๆ แต่หลายๆ ครั้งมันก็มีความรู้สึกที่ว่า เฮ้ พลังเธอมีแค่นี้ ได้เท่านี้เองเหรอ? คล้ายว่ารู้สึกว่าไม่เก่งเหมือนคำบอกเล่า พอฉากถัดมาก็ดันเทพแบบไม่เกรงใจใครซะงั้นดูคอนทราสต์ชอบกลเหมือนกัน
นักแสดงทำได้ตามหน้าที่ตัวเองไม่มีบกพร้อม อาจจะมี Elizabeth Olsen ที่โดดเด่นขึ้นมาในแง่การแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า หรือรายใหม่ Xochitl Gomez ในบท American Chavez ที่อาจจะยังไม่โชว์ของมาก แต่ลุคที่มีก็ทั้งเท่และน่ารักสุดๆ ไปเลย เอาเป็นว่าผ่าน!
Doctor Strange in the Multiverse of Madness เป็นหนังที่ตอนออกจากโรงใหม่ๆ ผมรู้สึกว่ามันมีจุดที่ชวนให้สะดุดใจอยู่มาก แต่ถึงย่างนั้นความรู้สึกมันก็ยังหนักแน่นว่าเรื่องนี้สนุกเลยล่ะชอบกว่าหลายๆ เรื่อง ยิ่งพอตกตะกอนความคิดแล้วก็กลายเป็นว่ารู้สึกดีกับมันมากขึ้นไปอีก ที่มันมีแนวทางของตัวเองชัดเจนและพร้อมตะโกนบอกพวกเราดังๆ ว่า ฮีโร่อย่าง Doctor Strange จะไม่ใช่หนังทางผ่านของอีเวนต์ใดอีกต่อไป เพราะมันได้สร้างที่ทาง, เป้าหมาย และเส้นเรื่องเฉพาะอันแข็งแรงของตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว