รีวิว Fast & Feel Love – เมื่อชีวิตเร็วขนาดไหนก็ไม่อาจหนีพ้นวัยปวดหลัง!

ถึงแม้ผมจะไม่ใช่แฟนหนังของพี่เต๋อ นวพล แบบดูแล้วซึมลึกทุกเรื่อง (เอาจริงถ้าความทรงจำไม่จางก็อาจมีแค่ Girls Don’t Cry เรื่องเดียว) แต่ชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับสไตล์จัดมีลายเซ็นต์หน้าเด้ดของแกก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาคนที่ทำงานกับโซเชี่ยลมีเดียร์ทั้งวันไปได้

Fast & Feel Love

อาจแทบไม่ค่อยได้เสพย์ผลงาน แต่การกดติดตาม SNS ของแกก็ทำให้ผมรับรู้อยู่ในทีว่าแกเป็นคนทันกระแสอยู่เสมอ หรือแม้กระทั่งสมัยแกเขียนสกู๊ปลงเว็บไซต์ a day ก็เคยตามอ่านอยู่เนืองๆ กลายเป็นว่าแม้แทบไม่เคยดูหนังของแกจริงๆ เราก็รู้สึก (ไปเอง) ว่ารู้จักแกอยู่ประมาณหนึ่ง

Fast & Feel Love เป็นหนังไม่กี่เรื่องของแกที่ผมตั้งมั่นว่าต้องไปดูในโรงให้ได้ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้จะโดนเส้นเราแน่ๆ ชอบกล… ปรากฎว่าเส้นข้างต้นนั้นมันไม่ได้พยายามเข้ามาจูนกับเรา แต่มันพุ่งเข้ามารัดรึงจับเราไว้ไม่ให้ไปไหน จากนั้นพี่เต๋อก็โผล่มาตะโกน “จ๊ะเอ๋ตัวเอง” ใส่หน้า แล้วแทงมีดใส่เรารัวๆ แล้วพูดทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มว่า “โดนมั๊ยล่ะทีนี้”

Fast & Feel Love

ครับ Fast & Feel Love ไม่เพียงแค่โดนเส้น แต่มันเป็นหนังที่เส้นเรื่องซ้อนทับกับชีวิตจริงจนกลายเป็นเกือบดูหนังไม่รู้เรื่อง เพราะกระวนกระวายใจกับสถานการณ์ในเรื่องเองเกือบตลอด ถ้าใครมีวัยที่ไล่เลี่ยกันกับผมและตัวละครในเรื่อง บางทีมันอาจเป็นหนังที่ฝังใจเราไปทั้งปีก็เป็นได้


***บทความนี้อาจมีสปอยล์เล็กน้อย

Fast & Feel Love เป็นหนังที่วางโพซิชั่นตัวเองได้หลุดมาก มีทั้งความพาโรดี้ ดราม่า คัมมิ่งออฟเอจ ความล้นแบบหนังการ์ตูนไลฟ์แอคชั่น และความนวพล ที่มันชวนให้สงสัยว่า “เริ่มงี้แล้วลงไง?” อยู่ตลอด แต่กลายเป็นว่าทุกเอเลเมนต์ถูกร้อยเรียงและนำมาปั่นผสานกันอย่างมีชั้นเชิง ก่อนกลายเป็นบทสรุปที่นิ่มนวลและไม่ใจร้ายกับเราเกินไปนัก แม้ว่าประเด็นหลักมันจะเป็นเหมือนผีในชัตเตอร์ที่เกาะเราให้ปวดหลังปวดไหล่ พลางกำมีดแทงเราอยู่ตลอดทั้งเรื่องก็เถอะ

พูดถึงปวดหลัง ปวดหลังเป็นเมสเซจสำคัญที่ถูกย้ำตลอดเรื่อง ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตรวดเร็วหรือเปี่ยมแพสชั่นเต็มไปด้วยความฝันขนาดไหน เมื่ออาการปวดหลังมาเยือนโลกทั้งใบของคุณก็จะช้าลงโดยอัติโนมัติ ปวดหลังเป็น Arch Enemy เป็นชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง ไม่มีใครเอาชนะวัยปวดหลัง และการปวดหลังอาจไม่ได้หมายถึงแค่อาการฟิสิคัล แต่ยังหมายถึงภาระในชีวิตที่ต้องแบกมากขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อเราเติบโตขึ้น

Fast & Feel Love

แม้หนังจะมีการนำเสนอกีฬาสปอร์ตสแตคกิ้งอยู่พอสมควร ทั้งยังมีเส้นเรื่องในแบบของตัวเอง แต่สุดท้ายกีฬาชนิดนี้ยังคงถูกจัดเก็บไว้ใน 1 ใน Category ของสิ่งที่เรียกว่า “ความฝัน” ตัวละครเอกอย่าง “เกา” พยายามใช้ทั้งชีวิตที่ผ่านมาเพื่อจะเป็นเจ้าของสถิติโลก เพราะเมื่อเป็นที่ 1 ในโลก เขาก็จะมีเงินมาเลี้ยงครอบครัว การได้ทำในสิ่งที่ฝัน ได้เป็นที่สุดของสิ่งที่รัก และยังได้เงินมาใช้ มันช่างเป็นอะไรที่ดูดี

แต่เพื่อความเร็วในการเล่นที่เพิ่มขึ้น 0.02 วินาทีเราจะต้องแลกอะไรมาบ้างล่ะ เพื่อการไล่ตามความฝันเอาเป็นเอาตาย เราได้มองกลับมาข้างหลังบ้างไหม ต้องทิ้งหรือสูญเสียอะไรไปบ้างรึเปล่า

“เกา” อาจดูเป็นตัวละครที่เห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่การจัดจ์เขาว่าตามความฝันแล้วผิดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรหาทำ

Fast & Feel Love

ตัวละคร “เจ” มีขึ้นเพื่อสร้างความชัดเจนในจุดนั้น เป็นตัวละครหญิงที่ไม่ได้มีความฝันยิ่งใหญ่อะไร แต่ได้อยู่ใกล้ชิดคนที่ไฟแรงก็รู้สึกมีความสุข และพร้อมจะซัพพอร์ต “เกา” ทุกอย่าง แม้ทั้งคู่จะเกิดดราม่าแต่การพยายามตามฝันอันเลื่อนลอยของเขาไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอตราบจนท้ายที่สุด

เราอาจมองง่ายๆ ว่านั่นก็คือความฝันเล็กๆ ของ “เจ” นั่นแหละ แต่เธอเองก็เป็นมนุษย์ มนุษย์เมื่อต้องเผชิญกับวัยปวดหลังทุกอย่างก็จะช้าลง ช้าลงจนมีเวลาหยุดคิด กระทั่งวันหนึ่งก็จะได้รู้ตัวว่าชีวิตเธอเหนื่อยมามากพอแล้วกับการไล่ตามความเร็วนั้น และเธอไม่จำเป็นต้องทนมันแล้วก็ได้นี่

Fast & Feel Love

ใช่ครับ แม้จะเคลือบไว้ด้วยความมีมความพาโรดี้ขนาดไหน แต่เนื้อแท้มันคือหนังของชีวิตคู่วัย 30+ ที่ต้องพยายามสู้กับชีวิตประจำวันก่อนที่วัยปวดหลังจะพรากเอาทุกอย่างไป พระเอกอย่าง “ณัฏฐ์ กิจจริต” ไม่มีใครกังขาในฝีมือเขาอีกแล้วตั้งแต่เป็นแสดงเป็นคนโคตรรวยอย่าง “แวน ธิติพงษ์” แต่ผมสนใจ “ญาญ่า” มากกว่า เพราะแม้จะเป็นงานที่เธอหน้าสดที่สุด แต่สำหรับผมมันไชน์ที่สุดเช่นกัน ไม่เคยชอบการแสดงญาญ่าเลยจนกระทั่งเรื่องนี้ (แน่นอน + ผมหางม้าเข้าไป 10 คะแนน) ยอดเยี่ยม มีสเน่ห์และขึ้นกล้องจริงๆ

Fast & Feel Love

ในขณะที่นักแสดงคนอื่นก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันโดยเฉพาะคุณ “โปเต้” ในบทของแม่บ้าน “เมทัล” ซึ่งฉายแววตัวขโมยซีนตั้งแต่ตัวอย่างและก็ไม่ผิดหวัง เฉิดฉายมากๆ แค่อยู่ในเฟรมก็รอฮาแล้ว

การนั่งดู Fast & Feel Love เหมือนผมได้นั่งรีแคปชีวิตตัวเอง แน่นอนว่าผมไม่ได้เล่นสปอร์ตสแตคกิ้ง แต่หลายๆ สถานการณ์ในชีวิตคู่ของ “เกา” และ “เจ” นั้นซ้อนทับกับชีวิตคู่ของตัวเองจนน่ากลัว มันเลยอินจัดมากๆ แม้หนังอาจจะไม่ได้จงใจทิ้งตะกอนหลังจบมากนัก แต่กับผมแล้วมันหนักหนาระดับไม่อาจจางไปง่ายๆ เหมือนพี่เต๋อมานั่งซุ่มเขียนบทเรื่องนี้จากในห้องนอนผม แล้วถ่ายทอดมันออกมาด้วยอารมณ์ขันแกมเสียดสีหน่อยๆ ซึ่งมันก็กลายเป็นว่าพอถูกเล่าออกมาแบบนี้ก็กลับขำเป็นบ้าเป็นหลัง พร้อมๆ กับความรู้สึกอินจนชวนว้าวุ่นเช่นกัน

Fast & Feel Love

สำหรับคนวัย 30+ หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนจดหมายเหตุของชีวิตที่อยากให้ลองมาดูกันในโรงภาพยนตร์ครับ มุกในหนังอาจต้องดูหนังฮอลลิวูดมาเยอะสักนิดถึงจะเข้าใจทั้งหมด ทว่าแก่นเรื่องของมันสำหรับหลายๆ คนที่อยู่ในวัยใกล้เคียงหรือผ่านมาแล้วไม่นานก็น่าจะโดนกันไม่มากก็น้อย

ขอบคุณ Major Cineplex ที่สนับสนุนการชมภาพยนตร์ในโรงครั้งนี้

Fast & Feel Love


VERDICT

9/10


ดูรอบหนัง และจองตั๋วได้ คลิกที่นี่ https://bit.ly/FastFeelLoveOS

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้