ความทรงจำแรกเกี่ยวกับ The Matrix คือมันเป็นหนังที่แม่ชอบมากๆ จนต้องเช่าวิดิโอมาดูหลายๆ รอบ ซึ่งผมเองก็ได้อานิสงษ์จุดนั้นไปด้วย ผมรับรู้เอาว่ามันเป็นหนังที่สนุก แต่ยังไม่ได้โดดเด่นโดนใจขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าเออช็อตบุลเล็ทไทม์นี่มันเจ๋งดีนะและฉากแอคชั่นสนุกดี
มาเริ่มดูจริงจังอีกทีตอนภาค 2 กับ 3 จะเข้าโรง พอโตขึ้นสามารถรับสารได้เยอะขึ้นเลยสามารถดู The Matrix เป็นหนังได้มากกว่าเดิม ซึมลึกได้มากกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าชอบมันในฐานะหนังแอคชั่นเสียมากกว่าความเป็นหนังที่ลุ่มลึกในด้านปรัชญา และไม่แปลกเลยว่าภาค Revolutions จะเป็นภาคที่ผมดูบ่อยสุดจนแทบจะท่องบทพากย์ไทยได้เลย
แต่แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนที่ดูหนังได้ลึกอะไรมากมายในช่วงนั้น ก็ยังรับรู้ได้ว่าเรื่องราวของ The Matrix ได้จบบริบูรณ์ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีต่อใดๆ อีก ดังนั้นตอนที่ Warner ประกาศว่าจะทำภาค 4 ผมก็เลยคิ้วขมวด เพราะไม่คิดว่าจะมีใครคิดฆ่าตัวตายง่ายๆ แบบนั้น และสุดท้ายแล้วถึงผลลัพท์ของมันจะไม่ได้แย่อะไร แต่กับหลายๆ อย่างมันก็ไม่ได้ตราตรึงเท่ากับเมื่อปี 1999 อีกต่อไปแล้ว
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
The Matrix Resurrections เล่าเนื้อเรื่องหลังจากเหตุการณ์ใน The Matrix Revolutions จบลงไปหลายปีดีดัก นีโอ พระเอกไตรภาคแรก กลับมาเป็น โธมัส แอนเดอร์สัน อีกครั้ง พร้อมดีกรีนักพัฒนาเกมมือรางวัล ชีวิตเขาอยู่มาเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้นนักกันกระทั่งเขาได้มาพบกับมอร์เฟียส… V2
เราจะเห็นได้ว่า The Matrix ภาคนี้พยายามเดินตามรอยของภาคแรก เพื่อให้แฟนๆ รู้สึกเอ๊ะ ไปเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นก็อัดประโยคพูดเด็ดๆ ที่หลายๆ คนอาจจะจำกันได้จากไตรภาคเก่าเข้าไป ราวกับผู้กำกับต้องการจะบิลด์อัพให้ความรู้สึกของภาค 1 กลับมาอีกครั้งให้สมกับคำว่า Resurrections (การคืนชีพ)
อย่างไรก็ตามก่อนดูก็แอบเป็นห่วงผู้กำกับอยู่ เพราะแม้ ลาน่า วอโชวสกี้ จะเป็น 1 ใน 2 ของผู้กำกับไตรภาคแรก แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีงานไหนที่เป๊ะปังแต่ระดับ The Matrix อีกเลย ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่กังวลไว้เลย เพราะไม่ว่าจะในแง่ของเนื้อเรื่อง หรือโปรดัคชั่นต่างๆ ก็คือมือตกลงไปเยอะ
ผมว่าเนื้อเรื่องยังพอถูไถไปได้ เช่นเดียวกับฉากแอคชั่นที่ทำได้ดีแค่ในระดับพอใช้เท่านั้น ในโลกภาพยนตร์ยุคนี้ที่เต็มไปด้วยหนังที่มีซีนแอคชั่นงานเนี๊ยบเต็มไปหมด อย่าง John Wick หรือหนังของ ดอนนี่ เยน สักเรื่อง การที่เบอร์ใหญ่อย่าง The Matrix ทำได้ประมาณนี้ก็ไม่ได้ชวนรู้สึกตื่นเต้นเลย แม้จะมีช็อตโชว์วิช่วลเจ๋งๆ อยู่บ้าง แต่ตอนกลางเรื่องก็คืออืดจนชวนหลับมากๆ ยังดีว่าแอคชั่นซีนใหญ่ตอนท้ายนั้นใช้ได้อยู่ ตื่นตา ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีมนต์ขลังเลย กลายเป็นเหมือนหนังซอมบี้ซะงั้นไป
สเน่ห์อีกอย่างที่หายไปของภาคนี้คือการที่เป็นหนังซึ่งพูดถึงเรื่องเจตจำนงค์เสรี แต่ดันมีองค์ประกอบที่ถูกคุมธีมไว้อย่างเนี้ยบแน่น ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหน้าผม คอสตูม รวมไปถึงเอเลเมนต์แบบป๊อปคัลเจอร์ฟากโลกตะวันออกที่ถูกผสมรวมกันอย่างดี พอภาคนี้ดูมีความผ่อนคลายในจุดนี้มากขึ้น ก็เลยกลายเป็นว่าความหอมหวลชวนใจเต้นนั้นมันจางไปจนน่าใจหาย
แต่บ่นมาขนาดนี้ผมอยากบอกว่าหนังยังมีความสนุกและห่างไกลความเป็นหนังแย่อยู่โข คือถ้าเอาไปเทียบกับไตรภาคแรกมันก็จะมีแผลเหวอะเต็มไปหมด แต่ถ้ามองว่ามันเป็นหนังแสตนอโลน The Matrix Resurrections ก็ถือว่าเป็นหนังแอคชั่นที่ดูได้เพลินๆ แม้อาจจะไม่ชอบธีมหลักที่ดูมมันออกจะเน้นความเป็นหนังรักไปสักหน่อย ทว่า The Matrix Resurrections ก็ยังมีข้อดีของมัน เช่น การพูดถึงสถานการณ์ในโลกจริงได้อย่างน่าสนใจ บทสนทนาที่จิกกัดวงการได้อย่างแสบสันต์ งานภาพวิช่วลที่ยังดูมีคลาสและตระการตา เป็นต้น
แฟนๆ The Matrix สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามาดูในโรงภาพยนตร์ เพื่อตัดสินใจกันเองว่าสนุกและพร้อมจะไปต่อกับมันไหม สำหรับผมเองที่แม้จะชอบไตรภาคแรกอยู่ประมาณหนึ่งแต่ก็ไม่ถึงขึ้นเป็นหนังที่มีคณูปการณ์ต่อชีวิตอะไร ก็รู้สึกว่าภาคนี้ไม่แย่ และดูได้เพลินๆ ถ้ามีภาคต่อก็อยากดู แต่ก็อย่างที่จั่วหัวไว้ ถ้าไปต่อก็พร้อมดู แต่จริงๆ ถ้าไม่พร้อมจะคืนชีพมาตั้งแต่แรก ปล่อยให้นอนยาวๆ ไปพร้อมกับความทรงจำดีๆ ก็อาจจะดีกว่าก็เป็นได้
ขอขอบคุณ Major Cineplex ที่สนับสนุนการชมภาพยนตร์ในครั้งนี้ครับ