หนัง Marvel บางครั้งมันเหมือนโปรแกรม Must Watch ถ้าหากว่าต้องการตาม MCU แบบจริงๆ จังๆ การพลาดสักเรื่องจึงถือเป็นข้อห้าม ดังนั้นสำหรับ Eternals ถึงแม้กระแสคะแนนจากนักวิจารณ์เมืองนอกจะเละเทะอย่างไร แต่เพราะว่ายังไงก็จะดูอยู่แล้ว ตัวผมเองจึงไม่ได้สนใจในตัวเลขคะแนนมากนัก แม้กระนั้นมันก็ไกด์ให้เราวางความคาดหวังลงไว้ระดับหนึ่งและปล่อยหัวให้โล่งก่อนเข้าไปดู
บทสรุปหลังรับชมจบคือผมเดินออกมาจากโรงด้วยอารามคิ้วขมวด เพราะรู้สึกว่าการเตรียมใจของเรามันเสียเวลาเกินไป เนื่องจากผมไม่ได้รู้สึกสักนิดว่าหนังมันห่วยยังไง
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
หรือจริงๆ แล้วมันอาจจะอยู่ที่ไมน์เซ็ตคนดูส่วนหนึ่งว่าวาง Eternals อยู่ในโพซิชั่นใดของ MCU ส่วนตัวผมคือคาดหวังหนังเรื่องนี้ในการส่งต่อเนื้อเรื่องในภาพใหญ่ของเฟส 4 MCU มากกว่าการแนะนำตัวฮีโร่กลุ่มนี้ ทั้งยังผิดหวังมาจาก Black Widow และ Shang-Chi เลยทำให้ผมรู้สึกเอนจอยกับ Eternals มากๆ เพราะตัวแก่นเรื่องหลักของมันได้พาผู้ชมไปพบกับเรื่องราวที่ใหญ่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะเวลคัมสู่เฟสใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิหลังจากซีรีส์ Loki ทำเอาเหวอไปในก๊อกแรกแล้ว
ผมเห็นด้วยส่วนหนึ่งกับคำวิจารณ์ที่ว่า Chloe Zhao นำความใหม่มาสู่ Marvel ได้แค่นี้เองเหรอ? เพราะผมก็ว่ามันไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น แต่คือความใหม่น้อยนิดของมันก็ยังมีความใหม่ที่มาตัดเลี่ยนสูตรสำเร็จปรุงเสร็จตั้งแต่ในซองแบบที่ Shang-Chi ได้ทำเอาไว้จนเราไม่ได้รู้สึกว่าได้รับอะไรนอกจากความสนุกในฉากต่อสู้
ประเด็นที่นำเสนอยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัว แต่เพราะผลกระทบของมันจะยิ่งใหญ่มากๆ เกินกว่าความรู้สึกของมนุษย์จะตัดสินใจได้ ทำให้หลายๆ คนมีโอกาสที่จะไม่อินกับความคิดของตัวละคร แต่เพราะแบบนั้นไมน์เซ็ตของทีม Eternals แต่ละคนจึงมีความน่าสนใจฉีกไปจากตัวละคร Marvel ทั่วไปๆ พอสมควร และเป็นหนังที่สามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งของความดี-ชั่วอันชัดเจนได้อย่างน่าประทับใจ บางทีคุณอาจไม่ใช่คนร้าย แต่คุณแค่มีเหตุผลในมุมคุณที่ต้องทำมัน
แต่เพราะมีประเด็นเยอะ ตัวละครก็แยะ เรื่องที่อยากเล่าก็อัดเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งยังต้องแบ่งเวลาให้กับมุกตลกหรือการอธิบายที่มาที่ไปของฮี่โร่ทั้งทีม มันเลยเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ในการคุมทุกอย่างให้สมูธตลอดรอดฝั่ง หรือขยี้แต่ละประเด็นให้ไปสุดในทางใดทางหนึ่ง เพราะแม้หนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็กลายเป็นว่ามันยังสั้นไปอยู่ดีที่จะทำให้ดีและถึงในทุกอนู แม้กระนั้นหนังก็ยังหาทางลงพร้อมเคลียร์ในทุกปมจนคนดูไม่ได้รู้สึกว่าติดค้างอะไรนัก และอิ่มไปกับมัน ถึงบางจุดจะเอาความง่ายเข้าว่าก็ตาม
ในแง่งานภาพความตระการตาน่าจะอยู่ในระดับต้นๆ ของ MCU ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นอีกเหตุผลที่คุณควรลุกออกจากบ้านเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงเพื่อความเต็มอรรถรส แม้กระนั้นมันอาจเป็นตัวผมเองที่ติดคำสาปไปแล้ว เพราะถึงจะรู้สึกว่ามันดูดีแต่ผมก็ชมได้ไม่สุดเนื่องจาก DUNE ได้ขโมยที่สุดของความตระการตาบนแผ่นฟิล์มในใจไปเรียบร้อยอย่างยากจะหาใครเทียบเคียงหลังจากนี้ ดังนั้นจึงรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นปัญหาของผมเองที่ดันอัปเกรดตาไปกับ DUNE แล้ว แต่หากถามว่างานภาพเป็นอีกจุดเด่นของ Eternals ใช่ไหมผมก็ตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าใช่ และย้ำอีกทีว่าคุณควรดูในโรงจอใหญ่ที่สุดเท่าที่ความสะดวกของคุณจะอำนวย
สิ่งที่ชอบที่สุดของ Eternals ที่ขนาดถูกเล่าออกมาได้ไม่สมูธนัก แต่เรายังรู้สึกดีกับมันได้คือเคมีของเหล่า Eternals แต่ละคน ซึ่งบทเยอะบ้างน้อยบ้างไม่เท่ากัน แต่ก็ชัดเจนและแสบสันต์ในการวางคาแรคเตอร์ รวมไปถึงการดีไซน์พลังของแต่ละคนที่ทำออกมาได้ตื่นตาและน่าสนใจ (ชอบ Phastos กับ Makkari เป็นพิเศษ) ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับทีมนักแสดงที่เล่นกันได้ดีมากๆ และไม่รู้สึกขัดใจตัวไหนเลย โดยเฉพาะ Gemma Chan ในบทของ Sersi ที่แทบทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าในเทรลเลอร์เฉยๆ แต่ในหนังจริงคือคาริสม่าล้นมากโดนตกกันเป็นแถบ เพราะนางน่ารักจริงจัง อีกคนที่เตะตาผมคือ Lauren Ridloff ในบทของ Makkari ที่รู้สึกเลยว่าเป็นสาวที่เท่จัดๆ เลย
แน่นอนว่า Eternals ยังห่างไกลจากความเป็นมาสเตอร์พีช หรือหนังที่ดีที่สุดในปีนี้ก็ยังไม่ใกล้เคียง แต่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือหนัง Marvel ที่ผมชอบที่สุดของปี มันเล่าไม่สมูธแต่ก็ยังเข้าใจ ใส่ประเด็นมาเยอะไปแต่ก็ไล่เคลียร์จนหมด ทั้งยังพาเราไปเรียกน้ำย่อยประหนึ่งให้เตรียมตัวกันว่าหลังจากนี้จะเจอกับอะไร พลังระดับคอสมิคเป็นอย่างไร และตัวละครใหม่ๆ จะโผล่มาในทิศทางไหนอีก มันยังจบได้แบบให้อยากตามลุ้นต่อจริงจังว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เรียกว่าค้างจาก DUNE แล้วก็มาค้างต่ออันนี้เลย บทสรุปสำหรับผมคือ Eternals ไม่ได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมแต่ก็ห่างไกลจากคำว่าแย่ มันเป็นหนังที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ข้อจำกัดจะอำนวย สำหรับคุณๆ ที่ตาม MCU มาอยู่แล้ว ยังไงก็ควรมาพิสูจน์กับมันในโรงภาพยนตร์ครับ