THE END OF THE STORM สารคดีย้อนรอย ลิเวอร์พูล เถลิงแชมป์ พรีเมียร์ลีก

แชร์เรื่องนี้:
THE END OF THE STORM สารคดีย้อนรอย ลิเวอร์พูล เถลิงแชมป์ พรีเมียร์ลีก

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เหล่า เดอะค็อป พลพรรคชาว "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ควรดูเป็นอย่างยิ่ง กับเรื่องราวสุดวิเศษที่ได้เกิดขึ้นเมื่อช่วง พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ที่ผ่านมา ด้วยการคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกหลังจากที่เปลี่ยนมาเป็น พรีเมียร์ลีก ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ พร้อมกับลูกทีมทั้งหมดในทีมลิเวอร์พูลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ภายใต้ภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า THE END OF THE STORM

Liverpool

THE END OF THE STORM จะเป็นภาพยนตร์สารคดีกล่าวถึงปรากฏการณ์ความสำเร็จของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ได้สำเร็จหลังจากที่ปล่อยให้แฟนๆ รอคอยมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ผ่านการกำกับของ เจมส์ เออร์สคีน

ภายในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ยังมีเหล่านักแตะและตำนานลิเวอร์พูลมาร่วมด้วยให้สัมภาษณ์ไม่ว่าจะเป็น เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานสโมสรเป็นผู้นำเสนอเรื่องราว นักเตะชุดใหญ่นำโดยกัปตัน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ซาดิโอ มาเน่, โรเบอร์โต้ เฟอร์มิโน่, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ร่วมด้วยแฟนๆ ผู้คลั่งไคล้จากทั่วโลก THE END OF THE STORM คือการเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะที่เป็นจุด เริ่มต้นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของสโมสรลิเวอร์พูล

https://m.youtube.com/watch?v=u9bhzioyPNs&feature=youtu.be

แถลงการณ์จากทีมงาน THE END OF THE STORM

โปรเจคต์นี้คล้ายกับการวางแผนคว้าแชมป์ของคลอปป์ คือมันเริ่มต้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน ของผมเริ่มในปี 2017 ตอนที่ผมเป็นครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ให้กับสารคดีชุดที่ฉายทาง Amazon เรื่อง This is Football ซีรีย์เรื่องนั้นนำเสนอพลังของกีฬาชนิดนี้ ว่ามันเป็นเหมือน เป็นเวทีให้แสดงอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ร่วมงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักข่าวกีฬา

ร่จอห์น คาร์ลิน เริ่มมองหาเรื่องราวที่น่าสนใจซึ่งเกี่ยวกับฟุตบอลจนได้เจอเรื่องราวของสโมสร Rwanda Reds ที่เป็นการรวมตัวของแฟนคลับ ลิเวอร์พูลในเมืองคิกาลี ประเทศรวันดา ผม กับ เรเชล แรมซีย์ โปรดิวเซอร์ ร่วมกันหาคำตอบว่าพวกเขาใช้ฟุตบอลเพื่อเยียวยาบาดแผลจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 ได้อย่างไร

เราค้นพบว่าผู้คนแชร์ความรักต่อทีมลิเวอร์พูลมารวมตัวกันจนเหมือนเป็นครอบครัวที่สองของพวกเขา สารคดีโดนใจคนวงกว้าง จนคว้ารางวัล Humanitas Award สาขาสารคดียอดเยี่ยม เรามารู้ทีหลังว่าทีมบริหารสโมสรลิเวอร์ได้ดูสารคดีเรื่องนี้ หนึ่งในนั้น คือประธานบริหารของสโมสร ไมค์ กอร์ดอน และ เจอร์เกน คลอปป์ ผู้จัดการทีม

Liverpool

สโมสรลิเวอร์พูลเสนอโอกาสให้ผมและทีมโปรดิวเซอร์ พัฒนาไอเดียทำสารคดีประจำฤดูกาล 2019/20 ที่มีทั้งความสำเร็จ และหายนะจากโรคระบาด ตอนที่เราคุยเรื่องไอเดียนี้กัน ทางสโมสรลังเลว่าควรจะทำหนังเกี่ยวกับการคว้าแชมป์ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยัง ไม่มีอะไรการันตีเลยหรือเปล่า แต่พวกเขาก็ไว้ใจเราแม้จะเล่นกับความคาดหวังของแฟนๆ นับล้านแถมยังมีโรคระบาดไปทั่วโลกอีกตะหาก

เช่นเดียวกับทุกสิ่งบนโลก ฟุตบอลได้รับผลกระทบอย่างมาก แผนการถ่ายทำที่เราวางไว้ต้องรื้อใหม่หมด เพราะการ แข่งขันถูกระงับ เราต้องพับแผนทั้งหมด กลับมานั่งคิดกันใหม่ว่าจะถ่ายมันให้จบยังไง ถ้าฤดูกาลแข่งขันโดนตัดจบ และยิ่งไป กว่านั้นคือจะถ่ายทำอย่างไรให้ปลอดภัยขณะที่โควิดกำลังระบาด

Liverpool

เมื่อถึงช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม มันชัดเจนว่าฟุตบอลกำลังจะกลับมาเตะ เราจึงเริ่มกลับมาถ่ายทำกันอีกครั้ง เราสัมภาษณ์ แฟนๆลิเวอร์พูลทั่วโลกเพื่อหาเรื่องราวสุดประทับใจ เรามีโปรดิวเซอร์ในพื้นที่ต่างๆคอยตามหาสิ่งที่เราต้องการ เพราะเราไม่ สามารถขึ้นเครื่องไปตามหาด้วยตัวเองได้

ในเวลาเดียวกันเราปรึกษากับทางสโมสรเพื่อหาวิธีถ่ายทำนักเตะได้อย่างปลอดภัย ไม่ใช่แค่ต้องทำตามข้อกำหนดของสโมสรเท่านั้น แต่ร่วมถึงข้อกำหนด บับบลิ้ง (จำกัดบริเวณ) ที่ลีกสั่งมาด้วย อย่างไรก็ตามซึ่ง ที่เป็นเหมือนเสาหลักของสารคดีเรื่องนี้คือการสัมภาษณ์ ความตั้งใจตั้งแต่แรกของผมคือการทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังฟุตบอลทั่วไป เพราะฉะนั้นเราจึงคลุกคลีกับกลุ่มนักเตะ มากกว่าแค่ตั้งกล้องสัมภาษณ์คนนั้นคนนี้อย่างผิวเผิน

แน่นอนว่าทุกคนที่ได้เห็นคลอปป์ให้สัมภาษณ์จะสัมผัสออร่าแห่งผู้นำตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาปรากฏตัว แต่เราต้องการที่จะให้ฉาย แสงไปที่ทุกฟันเฟืองเล็กๆ ที่มีส่วนทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์มาได้ (ผู้รักษาประตู, กองหลัง, กองกลาง, กองหน้า) ที่ต้องร่วม กันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเพื่อไล่ล่าความสำเร็จ

Liverpool

เราได้สัมภาษณ์ทั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เป็นกัปตันทีม ร่วมด้วย ซาดิโอ มาเน่, อลิสซอน เบ็คเกอร์, โรเบอร์โต เฟอร์มิโน่ และ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ โชคดีที่ เรเชล แรมซีย์ โปรดิวเซอร์ของเรา พูดภาษา ฝรั่งเศสและบราซิเลียน-โปรตุกีสได้คล่อง เพราะมันเป็นประโยชน์ในการดึงเอาความรู้สึกที่แท้จริงของนักเตะออกมา เพราะพวกเขา บางคนใช้ภาษาบ้านเกิดสื่อสารได้ดีกว่าภาษาอังกฤษ

มีการถ่ายทำทั้งในอู่ฮั่น, โอ๊คแลนด์ ไปจนถึงเมอร์ซีย์ไซด์และดีทรอยท์ จากนั้นส่งฟุตเทจทั้งหมดเข้าห้องตัดต่อ ขั้นตอนการ ตัดต่อนำโดย อาวิ โมห์ลา ที่ผมเคยร่วมงานมาแล้วในs Sachin: A Billions Dreams และBillie สิ่งที่คำนึงเป็นอันดับแรก ในการตัดต่อคือทำให้มันออกมาสนุก ผมไม่อยากให้หนังออกมาดูทางการเกินไป แน่นอนว่าเรายังเน้นแก่นหลักของเรื่องแต่ผม อยากให้สไตล์ตัดต่อมันมีความขี้เล่น โฉบเฉี่ยว ถ้าเห็นภาพที่สุดคือการเล่าเรื่องสไตล์หนังสือการ์ตูนที่เราใช้ อาวิโชว์ฝีมือ ขั้นเทพของเขาในเรื่องนี้

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือดนตรีประกอบ ผมอยากให้มันต่างกับเพลงประกอบหนังฟุตบอลเรื่องอื่น ผมอยากใช้เสียงร้องของนักร้อง ผู้หญิงช่วยเล่าเรื่อง ไม่ใช่เพลงจากวงอินดี้ ผมอยากให้ศิลปินที่เข้ามาทำเพลงเป็นชาวลิเวอร์พูล ไม่ก็เชียร์ลิเวอร์พูล แม้ว่าหลายๆ คนที่ทำโปรเจคต์นี้จะเป็นแฟนทีมอื่น

Liverpool

ผมรู้สึกว่าคนที่ทำดนตรีต้องอินกับลิเวอร์พูลเท่านั้น ผมชอบเพลง Coming Home ของวง Jetta ผมรู้ทันทีว่าจะใช้เพลงนี้ในซีนที่แฟนบอลและนักเตะเข้าสนามอีกครั้งหลังโรคระบาด ผมโชคดีที่ได้ฟังเพลงLiverpool โดย เชลซี ไกรม์ ขณะที่มันยังเป็นแค่เดโม่ เราคุยกับเชลซีและทีมจัดการของเธอว่าอยากทำเวอร์ชั่นสมบูรณ์เพื่อหนัง เรื่องนี้ไหมซึ่ง เธอตอบตกลง บังเอิญว่าผู้จัดการของเชลซียังดูแล ลาน่า เดล เรย์ด้วย เราเลยลองถามๆ ดูว่าเธอจะสนใจไหม เพราะเธอ เคยมาดูลิเวอร์พูลเตะที่สนามแอนฟิลด์ แถมยังประกาศตัวว่าเป็นแฟนตัวยงด้วย

เราส่งหนังเวอร์ชันตัดคร่าวๆ ไปให้เธอลองดู สรุปสั้นๆ ว่าคืนหนึ่งในเดือนกันยายนเธอส่งเสียงร้องที่อัดในแอลเอ เปียโนอัดในเบลฟาสต์ อัดเสียงร้องอีกรอบในอังกฤษ และอัด เครื่องสายในยุโรปตะวันตก ในที่สุดมันออกมาเป็นเพลงที่สมบูรณ์ที่มีเนื้อหาตรงกับที่คลอปป์ต้องการ, ที่แฟนลิเวอร์พูลทั่วโลกต้อง การและที่หนังต้องการสื่อ: ซึ่งก็คือพวกเขาจะไม่มีวันเดินเดียวดาย (You’ll Never Walk Alone)

เจมส์ เออร์สคีน, ผู้กำกับ – ลอนดอน, พฤศจิกายน 2020

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ