The Last Full Measure รีวิว - หนึ่งชีวิตจะมีค่าสักเพียงไหน?
เวลาดูหนังสงครามหลายๆ คนรวมถึงผมมักจะคาดหวังฉากสงครามขนาดใหญ่ ฉะกันกระจุยกระจายตายเป็นเบือ ก่อนจะปิดท้ายด้วยชัยชนะของฟากฝั่งตัวเอกที่บ้างก็ออกมาหล่อจัด บ้างก็สะบักสะบอมเกือบเอาตัวไม่รอด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉากประหัตประหารในหนังประเภทนี้ มักจะเร้าให้ผู้ชมมีอัตราความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้นได้อยู่เสมอๆ ยิ่งเลือดสาดเท่าไหร่ยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งภาพยนตร์ The last full measure ก็สร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการแทบไม่มีฉากแนวนั้นเลย แต่กลับขับเน้นดราม่าว่าด้วยความหมายของชีวิต 1 ชีวิตที่แม้จะเสียกันง่ายๆ เพียงแค่ 1 คมกระสุน แต่แท้จริงแล้ว 1 ชีวิตที่หายไปนั้นมีค่ามากมายขนาดไหนกันนะ?
The Last Full Measure เล่าเรื่อง 32 ปีภายหลังสงครามเวียตนาม ณ สมรภูมิ "ปฏิบัติการณ์อบิลิน" ที่ซึ่งกองร้อยชาลีได้เดินเข้าไปติดกับทหารเวียตกงจนเกือบสูญเสียชีวิตทั้งกองร้อย หากไม่เป็นเพราะว่ามีทหารอากาศรายหนึ่งนาม "พิตเซ่นบาร์เกอร์" โรยตัวลงมาช่วยเหลือคนทั้งกองร้อยจนสามารถผ่านพ้นวิกฤตมาได้ แม้ว่าตัวเองจะต้องสละชีพก็ตาม สร้างความซาบซึ้งให้เหล่าทหารที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์วันนั้นเป็นอย่างมาก ทว่าพิตเซ่นบาร์เกอร์กลับได้รับเหรียญเกียรติยศชั้นรองเท่านั้น ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือยังคงรู้สึกผิดและพยายามต่อสู้ให้ผู้มีพระคุณของพวกเขาได้รับความเป็นธรรมมาตลอด 32 ปี กระทั่งคำร้องครั้งล่าสุดตกมาอยู่ในมือของ สก็อต ฮัฟแมน (เซบาสเตียน สแตนด์) เจ้าหน้าที่เพนตากอนหนุ่มไฟแรงทุกๆ อย่างก็ดูจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง
แม้หน้าหนังจะดูเป็นหนังสงครามเวียดนาม แต่ The Last Full Measure ควรถูกจัดอยู่ในหมวดดราม่ามากกว่า เพราะตัวเรื่องจะตามติด ฮัฟแมน ในภารกิจทางความยุติธรรมให้ พิตเซ่นบาร์เกอร์ ที่ตอนแรกเขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าจะฟื้นฝอยหาตะเข็บเรื่องที่จบไปแล้วกว่า 3 ทศวรรษทำไม กระทั่งตัวเรื่องค่อยๆ พาฮัฟแมนและผู้ชมไปรู้จักพิตเซ่นบาร์เกอร์ทีละเล็กละน้อยผ่านมุมมองของทั้งคนที่เคยถูกช่วยเหลือ, เพื่อนร่วมหน่วย และครอบครัวที่คนเป็นพ่อแม้จะเป็นมะเร็งกระดูกแต่ก็ยังแข็งขืนโชคชะตาเพื่อรอวันที่ลูกชายได้รับความเป็นธรรม จนเรารู้สึกได้ในท้ายที่สุดว่าทำไมคนๆ เดียวหรือชีวิตเพียงชีวิตเดียวที่แม้จะจากไปแล้วแต่ก็ยังคงมีอิทธิพลต่ออีกหลายชีวิตในอีกกว่า 30 ปีถัดมา
แม้การเล่าเรื่องจะทุลักทุเลพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกจนแอบรู้สึกหวั่นๆ ว่าจะรอดไหม แต่พลังการแสดงของเหล่ารุ่นใหญ่ของวงการก็ช่วยแบกหนังเรื่องนี้มาเรื่อยๆ จนมาระเบิดฟอร์มเอาช่วงท้ายที่เรียกนํ้าตาจัดๆ ทั้งเศร้า ทั้งอิ่มเอม และสวยงาม ผมชอบทุกพาร์ทที่ปู่ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ เข้าฉาก แกรับบทเป็นพ่อของพิตเซ่นบาร์เกอร์ได้เข้าถึงมากๆ และมักจะมีไดอาล็อกคำพูดโดนๆ อยู่เสมอ ชอบสุดๆ คือประโยคที่พูดถึงคนลูกซึ่งไม่ได้กลับมาจากเวียตนามประมาณว่า "ผมคิดถึงทุกๆ สิ่งที่เคยทำกับเขา แต่เสียดายที่สุดคือไม่ได้เห็นสิ่งที่เขาจะได้ทำ เสียดายที่ไม่ได้เห็นตอนที่เขาอุ้มลูกชาย เพราะนั่นเป็นโมเมนต์ที่เขาจะเข้าใจได้ในทันทีว่าผมรักเขาขนาดไหน" ได้ยินแล้วแทบร้องคิดถึงพ่อขึ้นมาทันทีเลยครับ โฮ~
The Last Full Measure ไม่ใช่หนังสงครามที่ฉะกันตูมตาม แต่เป็นดราม่าชั้นดีที่พาเราไปเห็นว่าแม้สงครามจะจบไปแล้ว แต่กับหลายๆ คนมันยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ไปจนวันตาย ทั้งยังมีเรื่องราวของการใช้ชีวิตที่ไม่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ และทุกชีวิตล้วนมีความสำคัญในตัวเองอยู่เสมอ หากสุดสัปดาห์ยังไม่มีหนังดู เรื่องนี้ผมก็เชียร์ครับ
VERDICT
7.5/10