ไทบ้าน x BNK48 รีวิว – คอนทราสต์จัดไปจนไม่อาจเบลนด์รวมกันได้
ไทบ้าน x BNK48 คือโปรเจคต์ภาพยนตร์อีกเรื่องจากทางฝั่ง BNK48 ที่แฟนๆ ได้ยินข่าวมานานนับปีแล้ว ตัวภาพยนตร์ถูกเลื่อนฉายมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะได้กำหนดที่แน่นอนว่าเป็นวันที่ 23 มกราคมนี้ ซึ่งก่อนจะฉายก็ได้มีการปล่อยเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง “โดดดิด่ง” ออกมาอาละวาดขึ้นเทรนด์ทั้ง YouTube และ Twitter ไปเรียบร้อย และกำลังจะกลายเป็นเพลงจาก BNK48 ที่มียอดวิวทะลุ 10 ล้านครั้งแรกในรอบหลายเดือน เรียกว่ากระแสมาดีมากๆ จนหลายๆ คนเริ่มคาดหวังอย่างมากกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งตรงนี้อยากจะขอเบรคแรง Hype ไว้ก่อน ว่าหากคุณไม่คุ้นกับหนังที่มีจริตแบบตระกูลไทบ้าน, ไม่อาจเปิดใจกับมันได้ หรือคาดหวังจะไปดูภาพยนตร์ที่มีน้องๆ BNK48 เป็นตัวนำอย่างเช่นที่เคยเห็นจากหลายๆ เรื่องล่ะก็ คุณมีแววผิดหวังสูงมากเลยทีเดียว
อธิบายกันง่ายๆ เป็นข้อมูลชั้นปฐมภูมิก่อน ไทบ้าน เดอะซีรีส์ เป็นภาพยนตร์ที่สามารถกวาดรายได้ทะลุ 100 ล้านได้แม้ไม่ต้องเข้ามาฉายในกรุงเทพมหานคร หลังความสำเร็จข้างต้นทาง ไทบ้าน ก็เริ่มทำภาคต่อ พร้อมบิลด์ให้แฟรนไชส์นี้กลายเป็นจักรวาลขึ้นมา โดยผ่านมาถึงปัจจุบันนี้มีภาพยนตร์ในจักรวาลนี้รวมแล้ว 3 เรื่องด้วยกันคือ ไทบ้าน เดอะซีรีส์, ไทบ้าน เดอะซีรีส์ 2.1, ไทบ้าน เดอะซีรีส์ 2.2 และ ไทบ้าน x BNK48 คือเรื่องที่ 4 ในจักรวาลนี้ครับ
ซึ่ง ไทบ้าน x BNK48 ก็มีความหมายในชื่อของมัน ในเมื่อมีชื่อไทบ้านนำ ภาพยนตร์เรื่องนี้ “จึงยังคงเป็นภาพยนตร์เรื่องไทบ้าน” กล่าวง่ายๆ คือการโคจรมาพบกับ BNK48 นี่เป็น “ไซด์อีเวนต์” ของซีรีส์ เป็นลิมิเต็ดไทม์แบบจบในตอนและไม่น่ามีภาคต่อแล้ว สำหรับแฟนๆ ไทบ้าน ก็จะได้เห็นตัวละครหลักอย่าง จ่าลอด, ครูแก้ว, บักมืด และหมอปลาวาฬ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ (ก่อนที่หมอปลาวาฬจะมี “ไซด์สตอรี่” แยกเป็นหนังอีกเรื่องต่อไป) ส่วนแฟนๆ BNK48 ก็จะได้เห็นน้องๆ ในฟอร์แมตและเซ็ตติ้งใหม่แปลกไปจากเดิม ฟังดูเป็นการ “โคลาโบ” ที่ดี คอนเซ็ปดี โปรโมทดี เพลงก็ดีอีกต่างหาก จนกระทั่งหนังได้ฉายจบลง ผมก็รู้สึกเหมือนขบวนผ้าป่าที่ครื้นเครงมาตลอดทางดันแหกโค้งเอาช่วงสุดท้าย แม้อาจจะพากันตะกายไปจนถึงที่หมาย แต่ก็ไม่ใช่สถาพที่ดีที่สุดแน่ๆ
เอาเข้าจริงแม้จะพูดแบบนั้นไป ผมก็ยังคิดว่าผมชอบคอนเซ็ปต์ของมันนะ มันยังคงมีความน่าสนใจในตัวเอง เพียงแค่ผลลัพท์สุดท้ายมันออกมาแล้วเราไม่สามารถเรียกคำว่าดีได้เต็มปากนัก โดยเฉพาะในพาร์ทของของฝั่ง BNK48 ที่ต้องบอกว่ามันดูไม่เป็นธรรมชาติ ดูประดิษฐ์ และปรุงแต่ง และด้วยความเคารพ ผมคิดว่าบทของตัว จ็อบซัง นั้นเยอะเกินความจำเป็นไปสักนิด และกลายเป็นว่าบทของน้อง BNK48 บางคนกลับน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่คนบทเยอะอย่าง เนย แก้ว หรือแม้กระทั่ง โมบายล์ แม้แอคติ้งจะผ่าน แต่บทก็ไม่ได้ส่งให้การแสดงของพวกเธอช่วยฉายแสงให้ภาพยนตร์มากนัก โดยเฉพาะรายแรกที่ผมว่าเล่นได้ดีเลย แต่ก็นั่นแหละ
ในทางกลับกันแคสต์ฝั่งไทบ้านยังคงเป็นตัวของตัวเอง แสดงแบบไหลลื่นตามมาตรฐานของตน เป็นความธรรมชาติที่พอจับมาอยู่ในซีนเดียวกับน้องๆ BNK48 จะเกิดความคอนทราสต์ที่น่าสนใจขึ้น คือฝั่งหนึ่งก็มีความเป็นชาวบ้าน ง่ายๆ สบายๆ พฤติกรรมตามครรลองที่ไม่ถูกอะไรมาครอบมากนัก ขณะที่อีกฝั่งมีกฎเข้มงวด มีโจทย์ชีวิตที่ต้องทำ มีเงื่อนไขที่ต้องฝ่า แลดูจะทำอะไรก็อึดอัดก็ยุ่งยากไปเสียหมด จุดนี้เป็นประเด็นที่ดีมากๆ และน่าเสียดายจริงๆ ที่มันไม่ถูกขยี้จนถึงแก่นเท่าไหร่นัก
แต่ถ้าให้ไปเน้นดราม่าจุดนั้นก็ดูจะไม่ใช่ไทบ้านอีก งั้นจุดใดที่เรื่องนี้ควรเน้น? ก็การฝึกให้น้องต้องร้องเพลงอีสานไง นี่คือเป้าประสงค์หลักของเรื่องเลย และทำให้น้อง BNK ต้องดั้นด้นไปศรีสะเกษไม่ใช่หรือ ซึ่งการเพิ่มตัวละครของคุณ “ก้อง ห้วยไร่” เข้ามาเป็นจุดเชื่อมระหว่างคนเมืองกับคนอีสานถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และด้วยความสัตย์จริง เจ๊ก้อง นี่แหล่ะตัวแบกที่แท้ทรูของเรื่อง เพราะนอกจากแกจะเล่นดีแล้ว บทแกยังดูมีอิมแพคสุดในเรื่อง เป็นคนที่มีบทนํ้าตาร่วงได้สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว แม้กระนั้นการมีตัวละครนี้เข้ามาก็ไม่ได้หมายความว่าบทจะให้ได้เห็นความยากลำบากในการฝึกฝนตัวเองเพื่อการเปลี่ยนแนวเพลงเลย คือมันก็มีแหละ แต่มันดูไม่เข้มข้นพอ ซึ่งทำให้การแสดงซีนอารมณ์ของเนยกับจ่าลอดดูไร้นํ้าหนักไปโดยปริยาย
แต่เอาเข้าจริงสำหรับผมเองปัญหาที่ดาเมจหนักที่สุดในเรื่องคงเป็นการลำดับเรื่องราวช่วงสุดท้ายตอนคลายปม มันดูรีบ ดูเร่ง รวบรัดตัดตอนจนร้องอิหยังวะในใจหลายรอบอยู่ บางซีนก็รู้สึกพยายามประดิษฐ์ออกมาจนชวนเบ้ปาก (เช่นฉากตู้ปลาที่ดูปลอมจัดๆ) เพราะถึงจะดูมีปัญหามาตลอดตั้งแต่เริ่มฉาย แต่พอเอาฟิลเตอร์ของหนังไทบ้านครอบไว้ผมกลับรู้สึกว่า “เข้าใจได้” ว่าทำไมถึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น คือมันก็ดูสบายๆ เรื่อยๆ ไม่รู้สึกเป็นปัญหามากนัก โดยเฉพาะกับซีนที่มีเหล่าแคสต์ไทบ้านออกมาจะค่อนข้างลื่นไหลเป็นพิเศษ จนกระทั่งช่วงองค์สุดท้ายแหละ ที่แม้จะเบาสบายขนาดไหน ก็ยังรู้สึกว่าตกมาตรฐานของไทบ้านไปอยู่ดี
อย่างที่บอกครับ ในภาพรวม ไทบ้าน x BNK48 เป็นหนังที่ดูเรื่อยๆ สบายๆ ไม่ได้เน้นประเด็นหนักอะไรนัก เป็นหนังไทบ้านที่อาจจะตกมาตรฐานลงมาสักหน่อย แต่ยังไม่ถึงขั้นน่าเกลียด แต่พอต้องเอามารวมกับเอเลเมนต์ที่มันเบลนด์รวมกันได้ยากเพราะคอนทราสต์จัดจนเกินไป แม้ในเชิงคอนเซ็ปต์จะน่าสนใจแค่ไหน ก็สามารถเกิดปัญหาขึ้นได้เมื่องานไม่ละเอียดและชัดเจนในแนวทางพอ ซึงพอมันเกิดขึ้นมาและกลายเป็นบาดแผลที่ใหญ่โตแล้ว ก็ขอพูดคำสั้นๆ ง่ายๆ อีกครั้งว่า “น่าเสียดายจริงๆ”
6/10