Ford v Ferrari – รีวิว ดราม่าการเมืองในองค์กรสุดเข้มที่ถูกเสริมด้วยฉากแข่งรถสุดระทึก
Ford v Ferrari เป็นภาพยนตร์ที่มีภาพลักษณ์ซึ่งถูกโปรโมตผ่านสื่อและโฆษณารวมถึงเทรลเลอร์ว่าเป็นภาพยนตร์แข่งรถแบบจริงจัง คือไม่ใช่เหมือนกับตระกูล Fast & Furius แต่จะออกแนวเรื่อง Rush เสียมากกว่า คือเป็นนักแข่งที่แข่งรถกันในสนามนั่นเอง ทั้งนี้ Ford v Ferrari เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือชื่อยาวเหยียด ‘Go Like HELL: Ford, Ferrari and thier battle for speed and glory at Le Mans’ ซึ่งเขียนจากเหตุการณ์จริงในช่วงทศวรรษ 60 อีกที เมื่อเจ้าพ่อรถยนต์สายแมสโปรดักส์อย่าง Ford ถูกท้าทายจากคู่แข่งรอบข้าง เมื่อมนต์ขลังแห่ง Henry Ford ที่ 1 ผู้ปฏิวัติวงการผลิตรถยนต์ของโลกเริ่มเสื่อมถอย เมื่อความพิเศษที่เคยมีมาแปรเปลื่ยนเป็นดาษดื่นธรรมดาในสายตาผู้บริโภค Ford จะทำเช่นไรกับยอดขายที่ตกลงเป็นประวัติการณ์ นี่คือชนวนเหตุแห่งการเปิดศึกยานยนต์ข้ามโลกกับจ้าวยนตรกรรมความแรงจากแดนมักโรนีอิตาลี Ferrari
แน่นอนว่าเราพอรู้มูลเหตุและสเตจสุดท้ายของการฟาดฟันว่าท้ายที่สุดหนังจะพาเราไปสู่การแข่งขันสุดหฤโหดในรายการ 24 Le Mans ที่ทั้งผู้ขับและรถจะถูกทดสอบทั้งความเร็วและแกร่งทน กับการขับวนบนสนามตลอด 24 ชั่วโมงแห่งการชิงชัย กระทั่งบางคนอาจจะทราบบทสรุปอยู่แล้วว่าผลออกมาเป็นเช่นใด หากเคยอ่านหนังสือ หรือศึกษาช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นมา ดังนั้นแล้ว หากทางผู้กำกับอย่าง James Mangold จะเน้นเล่าเรื่องในทางเดียว มันก็อาจจะกลายเป็นหนังขับรถที่ดีแต่คงไม่น่าจดจำนัก และหากใส่แค่ดราม่าชีวิตนักแข่งเข้ามาด้วย แม้จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาก็อาจจะยังไม่สุด Mangold จึงเลือกผสมพาร์ท การเมือง ลงไปในหนังด้วย ไม่ว่าจะการเมืองระหว่างองค์กรหรือการเมืองภายในองค์กร เขาเก๋าและเก่งพอจะเบลนด์ทุกอย่างรวมกันพร้อมคุมคุณภาพออกมาจนกลายเป็นอีกหนึ่งงานมาสเตอร์พีชลุ้นออสการ์ที่ทั้งมีคุณค่าและสนุกสนานบ้าคลั่งได้อย่างน่าทึ่ง
เราจะได้เห็น 2 คู่หูตัวเอก Carroll Shelby และ Ken Milles ลงต่อสู้ทั้ง 3 สนาม สู้กับตัวเอง สู้การขั้วตรงข้ามในองค์กร และสู้กับคู่แข่งในสนาม โดยในหลายๆ ครั้งพวกเขาต้องสู้ในหลายสนามพร้อมๆ กัน ก่อเกิดความลุ้นระทึกแก่ผู้ชมว่าพวกเขาจะทำอย่างไร ซึ่ง Mangold สามารถเค้นให้ทั้ง 3 องค์ประกอบสำคัญแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างหมดจรด แต่ละพาร์ทล้วนมีความสนุกในแบบของตัวเอง เราเอาใจช่วย Shelby ในการเอาชนะใจ Miles เราลุ้นว่าทั้งคู่จะตอกกลับเหล่าผู้บริหารในองค์กรอย่างไร และเราอดรีนาลีนเดือดพล่านเมื่อดูการสัประยุทธ์ใน Le Mans ระหว่าง Miles กับเหล่านักแข่ง Ferrari
ไม่มีส่วนไหนที่ทำออกมาแย่เลย แต่ถ้าถามว่าพาร์ทไหนเดือดสุด ขอตอบว่าพาร์ทการเมืองในองค์กรก็แล้วกัน ใครเป็นพนักงานออฟฟิศน่าจะต้องเคยเจอปัญหาอะไรแบบนี้มาบ้าง และอาจจะอินหนักจนรู้สึกเกลียดตัวละครบางตัวในเรื่องเข้าไส้เลยทีเดียว แต่ในทางกลับกันผมกลับชอบพาร์ทการตีแผ่ชีวิตของ Miles มากกว่า มันมีทั้งความประทับใจและการตั้งคำถามอยู่ในนั้น เราประทับใจความโลดโผนของเขาที่กล้าไล่ตามความฝัน พลางรู้สึกรักผู้คนแวดล้อมที่พร้อมจะเข้าใจและเดินไปด้วยกัน มันเป็นภาพรูปธรรมที่เราสามารถเห็นได้ชัดว่าสหากคนเราได้ทำอะไรที่ชอบแบบสุดทางสีหน้าจะเป็นอย่างไร ผมว่ามันเป็นไฟชีวิตที่ดีเลย กระนั้นการกระทำของ Miles ช่วงท้ายก็ฝากคำถามให้เรากลับไปคิดเช่นกัน คือตัวเขาดูไม่ติดใจนักเมื่อทำแบบนี้ แต่คนดูกลับกลายเป็นฝ่ายที่รู้สึกแทนอย่างน่าประหลาด นำมาซึ่งการก่อเกิดคำถามว่าหากเราเป็น Miles เราจะทำอย่างไร
การทำหนังให้ทัชความรู้สึกขนาดนี้ได้แน่นอนว่าเครดิตต้องมีผู้กำกับเป็นส่วนสำคัญ แต่ไม่แพ้กันคือนักแสดง Matt Damon ในบทนำอย่าง Carroll Shelby ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ไม่มีใครเถียง แต่ที่โดดเด่นอย่างถึงแก่นคงต้องยกให้ คริสเตียน เบลล์ อีกครั้งกับบทบาทของ Ken Miles ที่แค่แสดงภาษากายหรืออารมณ์ผ่านแววตา ก็สามารถบรรยายสิ่งที่รู้สึกได้มากกว่าการเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดเสียอีก อยากให้ไปดูกันจริงๆ
Ford v Ferrari โดยสรุปสั้นๆ คือเป็นหนังดราม่ารถแข่งชั้นดี มีความเข้มข้นในทุกๆ ซีน จนอยากให้ทุกคนไปพิสูจน์ถึงคุณภาพของมันจริงๆ ไม่ว่าคุณจะอินในการแข่งรถหรือไม่ก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้วมันคืออีกหนึ่งงานมาสเตอร์พีชของปีนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างน้อยหากเข้ามาดู คริสเตียน เบล แล้วอินกับพี่แกก็จัดว่าคุ้มแล้ว
9/10