Hello World เธอ.ฉัน.โลก.เรา – รีวิว: ในวันที่ความรักพาชีวิตไปไกลสุดขอบโลก
Hello World น่าจะเป็นคำที่โปรแกรมเมอร์ร้อยทั้งร้อยล้วนคุ้นเคย หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเคยผ่านตามาบ้าง เป็นดั่งประตูบานแรกที่พาคุณจากโลกแห่งอนาล็อกสู่การเรียนรู้ที่แตกต่างออกไปในโลกดิจิตอล ดังนั้นแล้วกับภาพยนตร์ที่ตั้งชื่อแบบนี้รวมถึงจากสิ่งที่เห็นในตัวอย่าง ก็พอจะอนุมานได้คร่าวๆ ว่ามันต้องมีส่วนของความเป็น Sci-Fi เข้ามาเกี่ยวข้องแน่ๆ และในเรื่องก็มีจริงๆ ทั้งยังเป็นแก่นเรื่องหลักๆ ในระดับตีคู่ขึ้นมากับเรื่องราวของความรัก กระทั่งในองค์สุดท้ายที่มันพาเราไปไกลกว่าที่คาดคิด พร้อมนำ Hello World สู่เขตขัณฑสีมาของแอนิเมชั่นชั้นดีมีเซอร์ไพรส์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
Hello World พาคุณสู่เกียวโตในปี 2027 ฉายให้เห็นโลกในอนาคตอันใกล้ที่เต็มไปด้วยความเป็นดิจิตอล, ข้อมูลและการจัดเก็บซึ่งกลมกลืนไปกับชีวิตประจำวันจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผ่านมุมมองของเด็กหนุ่มคาตานากิ นาโอมิ ผู้ซึ่งขาดความมั่นใจในตัวเองขั้นรุนแรง โดยวันหนึ่งเขาก็ได้เจอกับชายหนุ่มซึ่งอ้างตัวว่าเป็นตัวเขาเองในเองในอีก 10 ปีข้างหน้าที่ข้ามเวลามาเพื่อช่วยให้เขาได้คบกับ อิจิเกียว รุริ ภายใน 3 เดือนนับจากนี้ ก่อนที่ รุริ จะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากการเดทครั้งแรก และการช่วยชีวิตรุริเพื่อบิดประวัติศาสตร์คือเป้าประสงค์ของภารกิจนี้นั่นเอง
ดังนั้นไม่แปลกเลยถ้าช่วงองค์แรกจะเน้นเรื่องความรักเป็นรอมคอมใสๆ ดูไร้พิษภัย ก่อนจะไล่ระดับถึงความคุกคามจากบางอย่างขึ้นเรื่อย กระทั่งเข้าสู่องค์ที่ 2 เมื่อปมส่วนหนึ่งถูกเฉลย ความไซไฟและทฤษฎีเชิงควอนตั้มฟิสิกส์จะเริ่มประดังประเดเข้ามา อย่างไรก็ดีมันไม่ได้มากเกินไปนักและประเด็นเรื่องความรักก็ยังคงแข็งแกร่ง กระทั่งเนื้อเรื่องทะยานสู่องค์สามซึ่งต้องใช้การตีความมากที่สุดแต่ก็ทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยความว้าวสุดๆ ด้วยเช่นกัน
เราอาจแทนค่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ด้วยการนำเอา The Mattrix + Inception แล้วใส่ฟิลเตอร์หนังรอมคอมข้ามเวลาแบบญี่ปุ่นๆ เข้าไป คนให้เข้ากันก็จะบึ้มออกมาเป็น Hello World นี่แหละ ในความคิดผมสิ่งที่โดดเด่นทีสุดคือเมสเสจที่หนังต้องการสื่อ ซึ่งสามารถตีความได้หลายเลเวล ถ้าเอาง่ายๆ ก็จะเป็นความความรักชนะทุกสิ่ง หรือถ้ามองลึกลงไปหน่อยเราจะเห็นว่าในโลกอนาคตของ Hello World ถึงแม้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างจะไปไกล แต่สุดท้ายแทบทุกครั้งก็จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์ หนังจึงยังคงมีมุมให้กับความเชื่อ โดยในกรณีของเรื่องนี้คือ “เชื่อว่าตัวเองทำได้” ซึ่งถูกย้ำหมุดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง และการที่พระเอกเชื่อว่าเขาสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อคนที่รักได้ ก็พาให้เขาหลุดออกจากเซฟโซนที่เขาพยายามจะออกตั้งแต่เต้นเรื่องไปไกล
ในด้านวิชวลดูเหมือนจะใช้โพลิกอนช่วยเรนเดอร์ตัวละคร ซึ่งถือว่าทำได้มาตรฐานหนังโรงปี 2019 มันไม่ได้หวือหวามากนัก โดยเฉพาะหากคุณผ่านตางานภาพของ Weathering with You และ Children of the Sea มาแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ สารภาพว่าในทีแรกผมไม่เข้าใจว่าเข้าจะทำภาพออกมาแนวๆ นี้ทำไม เพราะรู้สึกว่ามันดึงเสน่ห์ของ “เกียวอนิเอนจิ้น” ออกมาได้ไม่เต็มศักยภาพนัก กระทั่งที่ดูหนัง “จนจบ” ผมถึงกับเปลี่ยนความคิดแทบไม่ทัน และกลายเป็นยอมใจการเลือกสื่อด้วยงานภาพแบบนี้ไปเฉยเลย
ข้อเสียสำหรับผมแล้วมีเพียงข้อเดียวแต่มันก็ฉุดดึงหลายๆ ของแต่ละองค์ประกอบให้ด้อยกว่าที่ควรเป็นก็คือความยาวโดยรวมของภาพยนตร์ที่ดูจะสั้นไปสักหน่อย… จริงๆ ก็ไม่เชิงเป็นข้อเสีย แต่ออกลูกเสียดายมากกว่า เพราะหนังยังมีช่องว่างและเวลาเพียงพอให้เพิ่มเติมเรื่องความผูกพันธ์รวมทั้งขยี้ปมต่างๆ ให้มากขึ้น เนื่องจากที่เป็นอยู่ก็รู้สึกว่ามันยังไปไม่สุดนัก แต่ขนาดไปไม่สุด ยังมีฉากทำเอาน้ำตาเกือบซึม ดังนั้นหากไม่เพิ่มเวลาเข้าไปอีกสักหน่อยมันน่าจะดียอดเยี่ยมกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน
ความประทับใจใน Hello World นั้นไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็อย่างที่ย้ำไปหลายๆ ครั้งว่าตอนจบมันทำให้ผมว้าวมาก มันเป็นแอนิเมชั่นที่พลอตค่อยๆ ฉีกออกไกลไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคนดูนัก มันอาจไม่ได้ดูง่ายจ๋าๆ เพราะต้องการการตีความตามระดับหนึ่ง แต่ก็สามารถสนุกไปกับงานภาพเลยแอคชั่นของมันได้ Hello World เธอ.ฉัน.โลก.เรา คืออีกหนึ่งงานแอนิเมชั่นชั้นเยี่ยมของปีนี้ที่ไม่ควรพลาดครับ
8.5/10