Star Wars: Episode IX จะเป็นเรื่องราวที่ดำเนินต่อจากเหตุการณ์ใน The Last Jedi เป็นเวลา 1 ปี และมันก็จะเป็นเวลา 2 ปีพอดิบพอดีกับในวันที่หนัง The Last Jedi ของผู้กำกับ Rian Johnson ได้ออกฉาย และได้กลายเป็นประเด็นที่สร้างความแตกแยกให้กับเหล่าแฟนๆ กับการทำลายขนบธรรมเนียมเดิมที่จักรวาล Star Wars ได้เคยทำมา และมันก็เป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อจากภาค The Force Awakens แทบจะเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์เลยก็ว่าได้
ซึ่งหากลองย้อนกลับไปมองยังภาคเก่าๆ ของซีรีส์เราก็มักจะเห็นได้ว่ามันมักจะมีการกระโดดข้ามเวลาระหว่างภาคมาให้เห็นกัน อาทิเช่นการข้ามภาคแบบเหตุการณ์หนึ่งปีให้หลังจาก The Empire Strike Back ไปยัง Return of the Jedi ไปจนถึงการข้ามเป็นทศวรรษอย่าง The Phantom Menace ไปยัง Attack of the Clones ซึ่งจากตอนจบของ The Last Jedi ที่หลายคนน่าจะได้ชมกันไปนั้น เราก็น่าจะพอได้เห็นว่าเหล่ากองกำลังฝ่ายต่อต้านแทบจะสิ้นไร้ไม้ตอกกันแล้ว และมันอาจจะต้องใช้ช่วงเวลาเป็นที่กว่าพวกเขาจะมีเนื้อหาและตัวละครที่มากพอสำหรับสานต่อการต่อสู้กับปฐมภาคีใน Episode IX
(ภาพจาก: CNBC.com)
ซึ่งมันก็เคยมีการคาดการณ์กันไว้ว่าหนัง Star Wars: Episode IX นั้นจะเป็นการกระโดดข้ามเวลาจากภาค The Last Jedi อย่างแน่นอนหลังจากที่ภาพของ John Boyega หนึ่งในนักแสดงหลักที่โผล่มาในมาดใหม่ แต่อย่างไรก็ดีไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ในภาคนี้ยังเป็นสิ่งที่ทาง Lucafilms พยายามที่จะเก็บงำเป็นความลับให้ได้มากที่สุด แต่ถึงกระนั้นล่าสุดเราก็ได้ข้อมูลใหม่ๆ มาอีกแล้วที่เป็นการยืนยันว่ามันจะเป็นเรื่องราว 1 ปีหลังจากภาค The Last Jedi
โดยเป็นรายงานจากสื่อสำนักใหญ่อย่าง Empire นั่นเองที่ได้ออกมายืนยันแล้วว่า Star Wars: Episode IX นั้นจะเป็นเหตุการณ์ 1 ปีหลังจาก The Last Jedi ซึ่งหมายความว่ามันจะเป็นเวลา 35 ปีหลังจากเหตุการณ์ Battle of Yavin โดยที่ทั้ง The Force Awakens และ The Last Jedi นั้นเป็นเรื่องราวในปีที่ 34 หลังจาก Battle og Yavin ทั้งคู่
(ภาพจาก: Inverse)
แม้หลายคนจะคิดว่ามันควรจะมีการกระโดดของเวลาที่ยาวนานกว่านี้ แต่นั่นก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการถมช่วงว่างของเรื่องราวของตัวละครแต่ละฝั่งฝ่ายไม่ว่าจะเป็น Rey, Finn และ Kyro Ren ที่ได้รับบทบาทใหม่กันในภาคก่อนหน้า ซึ่งช่วงเวลา 1 ปีเราก็อาจจะได้เห็นพวกเขากลับมาอีกครั้งด้วยวุฒิภาวะที่เติบโตมากขึ้น เหมือนอย่างที่เราได้เห็นการเติบโตของ Luke Skywalker ในหนัง Original Trilogy และเพื่อเป็นการปิดฉากไตรภาคลงอย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้การทิ้งช่องว่างของเวลาก็ยังเป็นผลดีกับทาง Disney อีกด้วยเพราะพวกเขาเองก็ต้องการที่จะสร้างเรื่องราวปูมหลังใหม่ๆ ให้กับซีรีส์นี้ หลังจากที่ได้ยกเลิกเรื่องราวต่างๆ ที่เป็น Spinoff หลังจากเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการของ Lucasfilms ซึ่งก็ทำให้มันอาจที่จะมีหนังซีรีส์ หรือวิดีโอเกมมาถมช่องว่างของเรื่องราวระหว่างภาคให้มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการขยายจักรวาลให้กว้างมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
ที่มา: Screen Rant