Online Station

ทิโมธี ชาลาเมต์ นักแสดงหนุ่มอัจฉริยะแห่งยุคสมัย กับผลงานคุณภาพเรื่องใหม่ Beautiful Boy

แชร์เรื่องนี้:
ทิโมธี ชาลาเมต์ นักแสดงหนุ่มอัจฉริยะแห่งยุคสมัย กับผลงานคุณภาพเรื่องใหม่ Beautiful Boy

ทิโมธี ชาลาเมต์ ถือเป็นนักแสดงที่มีกระแสโด่งดังอย่างต่อเนื่องจนหยุดไม่อยู่ในปี 2017 จากบทบาทการแสดงใน “Lady Bird (เลดี้ เบิร์ด)” และผลงานที่ส่งให้เขาได้รับโอกาสเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม “Call Me by Your Name (คอล มี บาย ยัวร์ เนม)” แต่ในการพบปะครั้งแรกกับ นิค เชฟฟ์ ผู้เป็นนักเขียนและผู้ที่ได้รับการบำบัดอาการติดยาเสพติดใน “Beautiful Boy (บิวตี้ฟูล บอย)” เขาก็พบกับความจริงข้อหนึ่งเกี่ยวกับนิค นั่นก็คือ นิคไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร

จากรายชื่อของนักแสดงหนุ่มที่จะมารับบทเป็นนิค ชื่อของทิโมธีเป็นหนึ่งในชื่อที่เขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย “ในตอนนั้นผมไม่ได้คาดหวังอะไรจริงๆ ครับ” นิค กล่าวถึงความรู้สึกของเขาในช่วงเวลานั้น ซึ่ง “Call Me by Your Name” ยังไม่ได้เปิดรอบฉาย “ผมรู้สึกได้ทันทีถึงพลังงานอันเหลือล้นที่อยู่ในตัวเขา ทันทีที่เขานั่งลงต่อหน้าผม ผมก็รู้ได้เลยว่าเขาห่วงแค่สิ่งๆ เดียว นั่นก็คือความถูกต้องและความสมจริงเกี่ยวกับการสวมบทเป็นตัวผมครับ”

ครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองพบหน้ากับ ทิโมธีพึ่งมีอายุแค่ 21 ปี “ในบางด้านเขาก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ แต่ในอีกหลายๆ ด้านผมรู้วึกว่าเขาเหมือนกับคนที่เปี่ยมล้นไปด้วยประสบการณ์ครับ” นิค กล่าว เขาได้จับตาดูทิโมธีตั้งแต่การถ่ายทำ “Beautiful Boy” ตั้งแต่การเปิดรอบฉาย “Call Me by Your Name” ครั้งแรก ตั้งแต่เขาเริ่มไปตามงานเทศกาลต่างๆ และรวมถึงการแถลงข่าวหลายต่อหลายครั้ง “เขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดาครับ เขามีไหวพริบที่มากเกินกว่าอายุของเขา บางครั้งเขาก็ทำตัวเป็นเด็ก เล่นกับเพื่อนๆ ของเขาอย่างสนุกสนาน บางครั้งเขาก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ฉลาด รอบคอบ และมีวาทะศิลป์ในการพูดครับ”

ความขัดแย้งเช่นนี้คือตัวตนของ ทิโมธี ชาลาเมต์ ถึงแม้ว่าเขาจะอายุครบ 23 ปี ในวันที่ 27 ธันวาคมนี้ เขาก็ยังคงต้องพบกับชะตาที่ต้องคอยรับบทเป็นวัยรุ่นอยู่อีกหลายปี นั่นเป็นเพราะเขามีลักษณะใบหน้าที่ยังคงดูอ่อนเยาว์อยู่นั่นเอง แต่เมื่อถึงเวลาแสดง เขาก็กลับมาจะสวมวิญญาณของความเป็นมืออาชีพอีกครั้ง ผู้ที่ได้สัมผัสกับประสบการณ์นี้โดยตรงก็คือ อาร์มี แฮมเมอร์ นักแสดงร่วมของเขาจากเรื่อง “Call Me by Your Name” “ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนขอคำแนะนำจากเขาครับ” อาร์มี กล่าว “ผมนี่ถึงกับต้องถามเขาว่า ‘คุณทำแบบเมื่อกี้นี้ได้ยังไง มันน่าเหลือเชื่อมาก อารมณ์ ความอ่อนไหว และการถ่ายทอดที่ราวกับแบความในใจออกมาอย่างนั้น อะไรคือเคล็ดลับของคุณกันแน่’”

แม้แต่ผู้กำกับอย่าง ลูกา กัวดาญิโน่ จาก “Call Me by Your Name” ก็ยังอดชมเขาไม่ได้ “ครั้งแรกที่เราได้พบกัน ผมก็รู้สึกได้ทันทีครับว่าเด็กคนนี้ต้องมีดีแน่ๆ” เขากล่าว “เขาเป็นคนที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ และมีความทะเยอทะยานในการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ใสซื่อและอ่อนโยนด้วย องค์ประกอบทั้งสองด้านนี้ทำให้เขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากครับ”

ผู้กำกับ สก็อต คูเปอร์ เคยคัดเขาให้มารับบทของนายทหารฝรั่งเศสใน “Hostiles” ที่นำแสดงโดย คริสเตียน เบล “ผมยังจำภาพที่เขาขี่บนม้าได้ดี ซึ่งแน่นอนว่าทักษะการขี่ม้านั้นไม่ได้อยู่ในคอร์สการสอนของโรงเรียนการแสดงที่เขาเคยศึกษาอยู่” สก็อต กล่าว “เขาแสดงอาการหวาดกลัวได้อย่างสมจริง เหมือนกับปลาที่อยู่บนบก ไม่พร้อมเผชิญกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เขาเป็นนักแสดงที่ฉลาดมากๆ และพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ”

YouTube คือ เว็บไซต์ที่นักแสดงหลายคนใช้เป็นแหล่งข้อมูล และทิโมธีก็เป็นอีกคนที่ใช้ YouTube หาข้อมูลเกี่ยวกับอาการของผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำไปใช้อ้างอิงกับการแสดงของเขาใน “Beautiful Boy” ข้อมูลที่เขาหามาได้จากเว็บไซต์ ประกอบกับการใช้เวลาอยู่ร่วมกับผู้ใช้ยา ทำให้เขาได้รับสิ่งที่เขาค้นหา “การติดยาไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว ผมไม่จำเป็นต้องเป็นคนติดยาเพื่อเข้าใจในบทนี้ การติดยาเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่ง ผมจะไม่เล่นเป็นบทของผู้ติดยาที่เราพบเห็นได้ทั่วไป แต่จะเล่นเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่นชอบการใช้ยาเสพติด”

ภาพยนตร์ของ เฟลิกซ์ ฟาน โกรนินเกน ถูกสร้างจากเรื่องจริงที่เรียบเรียงผ่านหนังสือบันทึกความทรงจำ 2 เล่ม “Beautiful Boy” ของ เดวิด เชฟฟ์ และ “Tweak” ของ นิค เชฟฟ์ มันได้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง ลูกชายผู้เผชิญหน้ากับอาการอยากยาของเขา และพ่อผู้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรลูกชายได้

ลุค เดวี่ส์ ผู้เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2016 จาก “Lion” เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับ เฟลิกซ์ ทว่าตัวเขาเองก็เกือบปฏิเสธงานชิ้นนี้ไปแล้ว เพราะเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในเหยื่อของยาเสพติด เขารู้สึกว่าเขาไม่อยากจะกลับไปรับรู้ความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง แต่ทว่าสามวันก่อนที่เขาจะได้พบกับผู้อำนวยการสร้าง เจเรมี่ คลีเนอร์ นักแสดงจากเรื่อง “Capote” ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน ก็ได้เสียชีวิตลงเพราะการใช้ยาเสพติดเกินขนาด พ่อของลุคได้อีเมลล์มาหาเขาในวันนั้น และก็เป็นเพราะอีเมลล์ฉบับนั้นที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวังและความยินดีกับการเดินทางตามความฝันของลูกชายสุดที่รัก ลูกชายที่สามารถหลุดพ้นจากก้นบึ้งของความสิ้นหวังจากการใช้ยาเสพติด จนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่หลายต่อหลายคน ลุคจึงกลับคำพูดของตัวเองและกลับมาตอบรับงานเขียนบทชิ้นนี้

มันเป็นการตัดสินใจที่สำคัญมากสำหรับ “Beautiful Boy” เพราะว่า ทั้งในบันทึกความทรงจำและในจอภาพยนตร์ พวกเขาจะต้องรับมือกับปัญหาของยาเสพติด ที่ส่งผลกระทบต่อหลายแสนหลายล้านชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อการอยู่ร่วมกับผู้ติดยาเสพติด “มันเป็นหนังที่บอกเล่าถึงผลกระทบของการใช้ยาเสพติดครับ” ทิโมธี กล่าว “มันจะเผยให้คุณเห็นถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม มันเป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครอยากพูดถึง และเราก็ต้องการเผยสิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนเห็น ให้รู้สึกถึงความน่ากลัวของการใช้ยา และความรู้สึกอันย่ำแย่ของผู้ที่ต้องการเลิกใช้มัน”

ทิโมธี ได้ทำการบ้านมาก่อนที่เขาจะพบกับ นิค เป็นครั้งแรก “แต่ละคำถามที่เขาถามผมล้วนเป็นคำถามที่ลึกซึ้งมากครับ” นิค กล่าว “มันเห็นได้ชัดว่า เขาได้ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของผู้ติดยาเสพติดมาโดยละเอียด รวมถึงผลกระทบของยาเสพติดที่มีต่อร่างกายของผู้เสพด้วย แม้กระทั่งสภาพร่างกายของผู้ที่อยู่ในขั้นตอนของการบำบัดยาเสพติด แต่ละคำถามที่เขาถามผมมานั้นเป็นคำถามที่มีเพียงคนที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้มาอย่างดีเท่านั้นที่จะถาม ความรู้สึกของผมหลังจากการพบปะครั้งแรกก็คือ นอกจากทิมมี่แล้ว คงไม่มีคนอื่นที่เหมาะสมกับบทมากไปกว่านี้แล้วครับ”

ผู้กำกับ เฟลิกซ์ กล่าวถึงเรื่องที่ ทิโมธี ชาลาเมต์ โคจรมาพบกับนักแสดงมือเก๋ามากฝีมืออย่าง สตีฟ คาเรล ว่า “พวกเขาทั้งสองเล่นกันได้เข้าขามากครับ มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นพ่อลูกที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว การดิ้นรนและความเจ็บปวด คือสิ่งที่นิคเคยต้องเผชิญในระหว่างที่เขากำลังรับการบำบัด และก็เป็นหน้าที่ของทิโมธีที่ต้องถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านี้ผ่านการแสดง ซึ่งเขาก็นำความรู้สึกเหล่านั้นถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความอับอาย ความโศกเศร้า รวมถึงความสุขและความผ่อนคลายด้วย

“มันจะรู้สึกอย่างไร ถ้าหัวใจของคุณอยู่ที่หนึ่ง สมองของคุณอีกเรื่องหนึ่ง และมือของคุณกำลังทำอีกเรื่องหนึ่ง” ทิโมธี สงสัย “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจของมนุษย์คนหนึ่งที่แทบจะแตกสลาย และความเป็นไปได้ในการทำให้มันกลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง โดยมีสักขีพยานที่ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นแล้วยังคงรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้อย่างนิค”

“เมื่อผมได้เห็นทิโมธีแสดงบนจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรก สิ่งที่ตราตรึงอยู่ในใจของผมก็คือ การแสดงที่ดึงเอาบางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนในฐานะของผู้ที่เคยติดยา” นิค กล่าว “เขาดูราวกับว่าเขากำลังเมายาอยู่จริงๆ คุณจะได้เห็นเขาทำพฤติกรรมต่างๆ นาๆ อย่างไร้เหตุผล แต่ในขณะเดียวกันคุณก็จะได้เห็นว่าคาแรคเตอร์ของเขานั้นเป็นอย่างไร เขาเป็นชายที่มีทั้งความอ่อนหวานและความบอบบางที่ไม่เคยเลือนหาย แต่ยาเหล่านั้นก็ได้เข้ามาครอบงำตัวตนของเขา ถ้าให้เปรียบเทียบ มันก็เหมือนกับสิ่งที่ตัวเอกในเรื่อง ‘Get Out’ ต้องเผชิญ เพียงแต่คุณยังสามารถเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อยู่ สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกของผม มันเหมือนกับผมได้ดูตัวเองทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น การแสดงของเขาทำให้ผมทั้งรู้สึกผิด รู้สึกอับอาย และผมก็ไม่มีอำนาจยับยั้งการกระทำเหล่านั้นด้วย”

ทิโมธีได้รับบทใน “Beautiful Boy” ก่อนที่ “Call Me by Your Name” จะทำให้ชื่อของเขาได้จารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ กลายเป็นนักแสดงชายที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นับตั้งแต่ มิกกี้ รูนี่ย์ ในปี 1940 ในช่วงงานอีเว้นท์ที่ลอนดอน เขาได้กล่าวว่าแค่ได้รับบทในหนังเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกดีใจแล้ว “ผมรู้สึกว่าพวกเราควรสร้างหนังอย่าง ‘Beautiful Boy’ ออกมาให้คนดูอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญมาก ไม่เพียงเฉพาะกับคนอเมริกาเท่านั้น แต่มันยังครอบคลุมไปถึงคนทั่วโลกที่มีอายุไล่เลี่ยกับผม พวกเราต้องสืบทอดเจตนารมณ์ในการส่งสารเกี่ยวกับเรื่องที่มีความอันตรายอย่างใหญ่หลวงกับครอบครัวมากมายทั่วโลก และมักจะเมินเฉยในเรื่องของการสื่อสาร ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญสำหรับงานศิลป์และภาพยนตร์ครับ”

ความรับผิดชอบคือความรู้สึกลำดับแรกที่ทิโมธีต้องเผชิญ “ความรับผิดชอบของผมคือ การถ่ายทอดเรื่องราวและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องออกมาให้ดูมีความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด” มันคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเขา เช่นเดียวกันกับความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างตอนที่เรื่องคดีล่วงละเมิดทางเพศของ วูดดี้ อัลเลน ถูกเปิดโปง ทิโมธีก็ได้ตัดสินใจนำรายได้ทั้งหมดที่เขาได้รับจากการแสดงในหนัง “A Rainy Day in New York” ของวูดดี้ไปบริจาคให้กับองค์กร RAINN และ LGBT Center ในเมืองนิวยอร์ก “ปีนี้เป็นปีที่ทำให้มุมมองของผมในหลายๆ เรื่องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงครับ” ทิโมธี กล่าว และด้วยนิสัยของทิโมธี เขาได้ยกความดีความชอบให้กับผู้ที่เขาเคยร่วมงานด้วย “ผมรู้สึกขอบคุณ อาร์มี แฮมเมอร์ มาก และในเวลานี้ สตีฟ คาเรล ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมต้องขอบคุณ ผมรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้ทำงานร่วมกับคนดีๆ ในสถานที่ดีๆ เช่นนี้”

“ชีวิตลูกยังดำเนินไป แต่หัวใจพ่อยังเป็นเหมือนเดิม” เตรียมพบกับภาพยนตร์สุดซึ้งที่จะทำให้คุณต้องเสียน้ำตาไปกับสายสัมพันธ์ “Beautiful Boy แด่ลูกชายสุดที่รัก' หนึ่งในภาพยนตร์จากโปรเจกต์ “หนังผมไม่เล็กนะครับ” เข้าฉาย 17 มกราคม 2562 ในโรงภาพยนตร์

ข่าวประชาสัมพันธ์

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Online Station