สารภาพตามตรงว่านี่เป็น 1 ในงานรีวิวที่รู้สึกว่ายากที่สุดชิ้นหนึ่งตั้งแต่เขียนลงเว็บ อาจจะด้วยเพราะมันเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัยเกินกว่าภาพยนตร์ธรรมดาๆ ที่หาก บทดี นักแสดงเด่น กำกับเยี่ยม ก็แทบจะการันตีเลยว่าเป็นหนังที่ดี เพราะจะอย่างไรเสียผู้ชมสามารถสโคปตัวเองลงไปในโลกของหนังได้เพื่อทำตัวเองให้อินมากขึ้น แต่กับหนังสารคดีที่มันคือโลกความจริง โลกที่แต่ละคนรับรู้บางสิ่งบางอย่างไม่เท่ากัน เห็นไม่เหมือนกัน รู้สึกคนละแบบกัน
กับโลกแบบนั้นที่เส้นเรื่องแตกแขนงออกไปจนนับไม่หวาดไม่ไหว
จึงออกจะเป็นอะไรที่ยากไปสักหน่อยที่จะบอกว่าคะแนนที่ให้นั้นเป็นกลางจริงๆ เนื่องจากท้ายที่สุด Girls Don't Cry คือหนังที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดในตัวเอง ทั้งที่ถูกควบคุมโดยจงใจและไม่ใช่ สำคัญสุดคือคุณจะอินกับมันได้ขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตนี้ตลอดทางคุณได้เจออะไรมา เพราะคำบอกเล่าจากวัยรุ่นทั้ง 26 คน คุณอาจเห็นตัวเองในใครสักคน หรือไม่ได้เป็นคนใดคนหนึ่งในนั้นเลยก็ได้...
ผู้กำกับอย่างคุณเต๋อ เคยบอกว่าเขาตีคำถามขึ้นมาก่อนแล้วมานั่งสัมภาษณ์เมมเบอร์ จากนั้นจึงเอาฟุตเทจมาดูแล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องในเวย์ไหน ดังนั้นแล้วในภาพรวม GDC จึงถูกตีกรอบด้วยถ้อยแถลงสัมภาษณ์จากเมมเบอร์เอง และเราอาจอนุมานได้ว่าความต่างระหว่างชนชั้น, ความไม่เท่าเทียม, ความเป็นจริงที่สวนทางกับคอนเซ็ปต์วง คือเรื่องที่เมมเบอร์บอกเล่าออกมามากที่สุด หรือไม่งั้นก็อาจจะอิมแพคมากที่สุด คุณเต๋อจึงเลือกที่จะเล่าเรื่องโดยยกจุดนี้เป็นไคลแมกซ์ในองค์ที่ 3 เพราะต้องยอมรับว่าการเชือดเฉือนกันด้วยคำพูดระหว่างผู้รั้งท้ายที่พยายามอย่างไรก็ไม่อาจผลักดันตัวเองได้พอกับผู้อยู่บนจุดสูงสุดที่ต้องแบกรับกับหลายๆ อย่างทั้งยังต้องสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรนั้น คือสิ่งที่หลายๆ คนน่าจะจำได้ดีที่สุดหลังออกจากโรงมา
เส้นเรื่องรองๆ ที่เหลือจึงน่าจะถูกถักทอขึ้นมาเพื่อรองรับจุดๆ นี้ และนั่นทำให้แอร์ไทม์ของเมมเบอร์ไม่อาจจะออกมาเท่ากัน เพราะคุณเต๋อคงต้องคัดเอาคำสัมภาษณ์ที่สามารถตัดให้เข้ากับธีมได้ออกมา และส่วนนี้หากไม่ซีเรียสด้านแอร์ไทม์ของเมมเบอร์แต่ละคน ผมว่าคุณเต๋อทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมกับการเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบได้สมูธจนเรารู้สึกว่าหนังจบเร็วเหลือเกิน
เร็วจนบางคนรู้สึกว่า "แล้วฉันได้อะไรจากหนังเรื่องนี้" ซึ่งความรู้สึกที่ว่ามักเกิดกับผู้ที่ติดตามวงมาตั้งแต่แรกๆ เพราะเอาเข้าจริงๆ หลายๆ อย่างในเรื่อง บางคนก็รู้อยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเป็นยังไงต่อ คนดูที่คาดหวังการเผยความลับที่มากกว่านี้ หรืออยากเห็นภาพ "ความพยายาม" อันเป็นรูปธรรมมากกว่าที่นำเสนอในหนังก็อาจต้องผิดหวังกันไป
และใช่ครับตัวผมเองก็ชอบในพาร์ทของจิ๊บกับเฌอปรางที่เป็นประหนึ่งนิยามของหนังที่ค่อนข้างชัดเจน การร้องไห้ที่ไม่อาจมีใครเห็น ความพยายามที่ถูกมองข้าม เหมือนกันจนซ้อนทับแต่นัยหนึ่งก็ต่างสุดขั้ว เป็นความคอนทราสต์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้เข้มข้นจากการตัดต่อรวมถึงอาจเพราะมันคือสิ่งที่เราสามารถรับรู้ได้ และโล่งใจที่ได้เห็นทั้ง 2 ปลดปล่อยมันออกมาเสียที เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างเติมเต็มแต่ก็นั่นแหละ... มันไม่ได้เซอร์ไพรซ์อะไรนัก
โดยรวมแล้วเอาเข้าจริงก็แอบคาดหวังไว้มากกว่านี้หน่อยๆ และคิดว่าคนที่น่าจะดูสนุกที่สุดอาจจะเป็นคนที่มาตามวงหลังจากเพลงคุกกี้เสี่ยงทายดังก็เป็นได้ เพราะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนตามวงวจริงจังมาแต่แรกกับผู้ชมทั่วไป กระนั้นก็ต้องยอมรับครับว่าแม้ประเด็นในภาพรวมอาจจะตื้นไปสักนิดเพราะอาจมีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน แต่ก็สัมผัสได้ว่าคุณเต๋อทำ Girls Don't Cry ออกมาเต็มความสามารถเท่าที่หลายๆ อย่างจะอำนวยแล้ว มันไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าหนังแย่ แต่คุณจะสนุกและอินกับมันได้ขนาดไหนก็เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลยิ่งกว่าหนังทั่วๆ ไปอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นครับ