รีวิว Beirut – เบรุตนรกแตก หนังทริลเลอร์ชั้นดีที่ไม่ควรถูกมองข้าม!

     ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ยินชื่อหนังเรื่อง Beirut ครั้งแรกก็ตอนที่ทางค่ายส่งข่าวโปรโมตมาให้ ในใจก็นึกว่าอืมมมม หนังเกี่ยวกับตะวันออกกลางเหรอ คราวก่อนก็เพิ่งจะอึนๆ กับหนังในธีมคล้ายๆ กันอย่าง 7 days in Entebbe ไป แต่หลังจากลองกดรับชมตัวอย่างแล้ว ความรู้สึกคือเปลี่ยนไปเล็กน้อย และสัมผัสได้บางๆ ว่าหนังเรื่องนี้มีของบางอย่างที่ไม่ควรมองข้าม

     Beirut จะพูดถึง เมสัน สไกล์ นักการฑูตมากฝีมือชาวอเมริกันที่ปฏิบัติหน้าที่ใน กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน แต่วันหนึ่งเขากลับเจอโศกนาฎกรรมที่พรากชีวิตภรรยา ทั้งลูกเลี้ยงชาวปาเลสไตน์ยังถูกผู้ก่อการร้ายจับตัวไป สไกล์กลับมายังอเมริกา แต่ 10 ปีถัดมาเขากลับถูกบังคับให้กลับไปยังสถานที่สุดท้ายบนโลกที่เขาคิดจะกลับไปอีกครั้ง เบรุต

     ตัวภาพยนตร์ใช้เวลาแนะนำแคแรคเตอร์ของเมสันแค่ช่วงแรก ก่อนจะพาเขาและผู้ชมลงสู่กรุง เบรุตโดยที่มีแต่ความสงสัยว่าทำไมถึงต้องกลับมาที่นี่ ถัดจากนั้นคือการเดินเรื่องราวแบบนอนสต็อปแทบไม่ได้พักหายใจ ตัวละครเสริม สถานการณ์หลัก สถานการณ์รอง และบทพูดคุยมากมายจะถูกประเคนอัดเข้ามาเรื่อยๆ ราวกับคุณกำลังเล่นเกม Guitar Heroes อยู่ เพียงคุณกดไม่ทันสักปุ่ม หรือในกรณีของหนังคือพลาบทสนทนาแม้สักประโยค 2 ประโยค คณจะไม่อาจเข้าใจตัวเรื่องได้ทั้งหมดทันที แต่นี่แหละครับสเน่ห์ของหนังเพราะพระเอกเป็นนักเจรจาฝีปากเยี่ยม บทพูดคุยเดือดๆ จึงเป็นการขับเน้นให้เราได้เห็นจริงๆ จังๆ ว่าทำไมในอดีตตัวละครนี้ถึงไต่เต้าตำแหน่งได้เร็วนัก

     อีกเรื่องที่ชอบมากๆ คือการเซ็ตติ้งสถานการณ์ในองค์รวมของเรื่องที่ต้องบอกเลยว่าชวนปรบมือ เพราะมันเจ๋งมากๆ แบบว่าเนื้อเรื่องเกิดขึ้นในกรุงเบรุตที่ถูกแบ่งการปกครองโดยหลายฝักฝ่าย ซึ่งแต่ละฝักฝ่ายก็จะมีบางประเทศหนุนอยู่เบื้องหลัง กรุงเบรุตจึงเต็มไปด้วยทหารฝ่ายต่างๆ ถือปืนหรือขับขี่รถถังอยู่ และสไกล์แทบจะเป็นคนเดียวในแดนมิกสัญญีที่เข้าไปยุ่งกับกลุ่มต่างๆ โดยไม่มีปืนในมือเพื่อช่วยเพื่อนที่เป็นสายลับคนสำคัญ ซึ่งถ้าแค่นั้นอาจไม่เท่าไหร่ ก็ต้องบอกด้วยว่าหลายๆ คนในฝั่งสไกล์เองก็มีลับลมคมในไม่โปร่งใส ซึ่งตัวสไกล์เองก็รู้และเขาไม่สามารถไว้ใจใครได้สักคน หนำซํ้าคนที่จับตัวเพื่อนเขาไปยังเป็นอดีตลูกเลี้ยงที่ปัจจุบันขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายแล้วอีกต่างหาก

     บอกเลยว่าสถานการณ์ยุ่งเหยิงและซับซ้อนมาก การแก้ปัญหาของสไกล์ไม่อาจทำจาก A ไป B ได้โดยตรง แต่ต้องอ้อมไปคุยกับ C ไปบลัฟ D ข่มขู่ E หาพิกัดที่อยู่ของ F เพื่อกลับมาบรรลุจุดประสงค์ของ B ในตอนท้าย ซึ่งด้วยเวลาจำกัดทำให้เรารู้สึกว่าหนังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา แอบลุ้นตามพระเอกไปพร้อมๆ กันว่าไอ้ที่เขาคิดเขาทำนี่มันถูกไหม ก่อนจะนำมาซึ่งซีนจบที่แอบนิยมในใจอยู่เหมือนกัน

     ถ้าจะให้พูดข้อเสียก็อาจจะเป็นการตัดต่อที่ดูยังไม่คมนัก การเร้าในบางช่วงยังไม่สุด แต่คิดอีกทีมันก็ได้อีกอารมณ์ที่ค่อนข้างกลมกล่อมไปกับหนังเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าจุดติดีไหม แค่รู้สึกว่าถ้าหนังสามารถเร้าให้ตื่นเต้นกว่านี้ได้ มันจระทึกกว่านี้มาก

     อย่างไรก็ดี Beirut ถือเป็นหนังม้ามืดตามที่คำโปรโมทว่าไว้จริงๆ มันเหนือความคาดหวังของผมในทุกๆ ด้านจนรู้สึกประทับใอย่างมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเข้าใจสถานการณ์ของโลกตะวันออกกลางในช่วงนั้นก็น่าจะอินกับมันขึ้นไปอีกครับ

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้