เรียกได้ว่าเป็นวัยคุณตาที่ถ้าเป็นคนปกติก็น่าจะได้เวลาเลี้ยงหลายกันแล้วสำหรับ ดารานักแสดงเจ้าของบทบาท Rambo อย่าง Sylvester Stallone กับวัย 71 ปีที่เตรียมกลับมารับบทบู๊ระห่ำกันอีกครั้งใน Rambo 5
โดย Rambo 5 นั้นได้ถูกทาง Avi Lerner และสตูดิโอ Millennium Films ซื้อลิขสิทธิ์มาเพื่อทำการถ่ายทำภาคต่อของแฟรนไชส์หนังบู๊ขึ้นหิ้งเรื่องนี้แล้วในงาน Cannes Film Market ที่ผ่านมา หลังจากที่ Sylvester Stallone นั้นได้พักผ่อนมาอย่างเต็มอิ่ม จากการที่ได้ไปเจิดจรัศบนเวที 'ออสการ์' กับบทบาทของ Rocky Balboa ในภาพยนตร์เรื่อง Creed ที่เตรียมกลับมารับบทอดีตทหารผ่านศึกเดนตายอย่าง Rambo อีกครั้ง
โดยทางสำนักข่าว Deadline ได้รายงานว่า Rambom 5 นั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนของการสร้างแล้ว โดยที่ทาง Sylvester Stallone นั้นจะเป็นผู้ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง และได้ทาง Avi Lerner ที่เคยร่วมงานกัรมาแล้วกับภาพยนตร์อย่าง Expendables มาเป็น Producer แต่อะไรที่เป็นสาเหตุให้ Rambo ต้องกลับมาอีกครั้งกันล่ะ?
(ภาพจากเว็บไซต์: CinemaBlend)
จากข่าวล่าสุดของ Rambo 5 ที่มีเปิดเผยออกมาเมื่อปี 2014 ได้มีการระบุไว้ว่า John Rambo นั้นจะต้องไปเผชิญหน้ากับองค์กรค้ายา (Cartel) ของพวกเม็กซิกัน ซึ่งเรื่องราวจะโยงไปหา Rambo ที่กำลังใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่จากเหตุการณ์ที่มีกลุ่ม Cartel นั้นได้ไปลักพาตัวลูกสาวของเพื่อนของเขาข้ามชายแดนเม็กซิโกไป และนั่นก็ทำให้ Rambo จะต้องออกไปทำภารกิจอีกครั้ง
แต่หากยังจำกันได้นอกจาก Rambo 5 แล้ว เมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านั้นทาง Millennium Films เองก็มีโปรเจ็คในการ Reboot เฟรนไชส์นี้กับ Rambo: New Blood ที่มีความตั้งใจที่จะทำให้ Rambo นั้นเป็นหนังในสไตล์ James Bond ที่ไม่มี Sylvester Stallone มาเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง และเราก็ไม่แน่ใจว่าโปรเจ็คดังกล่าวนั้นมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
(ภาพจากเว็บไซต์: Nerdist)
นอกจากนี้แหล่งข่าวยังได้มีการเปิดเผยออกมาว่า Rambo 5 นั้นอาจจะใช้ชื่อว่า Rambo: Last Blood ที่จะเป็นการปิดฉากตำนานของ Rambo และเพื่อให้สอดคล้องกับ Rambo ภาคแรกที่ใช้ชื่อว่า Rambo: First Blood ที่ออกฉายไปเมื่อปี 1982
ซึ่งเมื่อดูจาก Rambo ภาคล่าสุดที่ออกฉายไปเมื่อปี 2008 นั้นมันก็เรียกไม่ได้ว่าประสบความสำเร็จนัก และไม่ใกล้เคียงกับที่ First Blood ทำไว้ได้เลย และการกลับมาอีกครั้งของ Sylvester Stallone จะสามารถปิดฉาก Rambo ลงได้อย่างสวยงามหรือไม่ก็คงต้อรอกันต่อไป
ที่มา: SlashFilms