ในหนึ่งอาทิตย์นี่เราทำอะไรกันบ้าง จำไม่ได้นึกไม่ค่อยออกล่ะสิ บางทีแค่วันเดียวก็กิจกรรมเยอะจนไล่ไม่หมดแล้ว หลายๆ ครั้งในความเยอะแยะ เรามักจะบ่นเหนื่อยอยู่เสมอ เบื่อต้องไปโน่นมานี่ ทำนั่นทำนี่ แต่บางทีการมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความไดนามิคแบบนี้ อาจจะดีกว่าต้องรอการช่วยเหลืออย่างเลื่อนลอยถึง 7 วันในดินแดนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างยูกันด้าในยุคที่มีทรราชย์ผู้โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเป็นผู้นำ แถมยังไม่มี มือถือกับ 4G ให้ไถ FB ฆ่าเวลาอีกต่างหาก
7 days in Entebbe จับเอาหน้าประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งมาตีแผ่กับกับการไฮแจ็คเครื่องบินที่กำลังจะบินจาก Tel Aviv สู่กรุง Paris โดยสลัดอากาศ 4 คน ก่อนพาตัวประกันบนเครื่อง 200 กว่าชีวิต เปลี่ยนเส้นทางบินอ้อมไปยังสนามบินนานาชาติ Entebbe ประเทศยูกันด้า และนำมาซึ่งปฏิบัติการณ์สะเทือนโลกของกองทัพอิสราเอลอย่าง Operation Thunderbolt ในตอนท้าย
อย่างไรก็ดี แม้องค์ประกอบจะดูระทึกสักเพียงใด แต่การเดินเรื่องกลับดูเนิบนาบจนเรารู้สึกเลื่อนลอยไปตามตัวประกันที่อยู่ไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะโดนฆ่า หรือถูกช่วยเหลือเอาวันไหน ไม่แน่ใจว่าเป็นความต้องการของผู้กำกับหรือไม่ เพราะก็กลายเป็นว่าภาพรวมของหนังมันทั้งเอื่อย และไม่ได้รู้สึกกดดันผู้ชมอะไรมากมายขนาดนั้น ซึ่งอันที่จริงคาแรคเตอร์ที่มีความขัดแย้งในตัวเองอย่าง Willfred Bose สามารถช่วยเหลือส่วนนี้ได้ บทเขาก็พยายามทำนะ แต่แรงกระเพื่อมไม่มากพอ ก็ไม่แน่ใจว่าอาจเพราะติดข้อจำกัดด้านขอบเขตทางประวัติศาสตร์รึเปล่า
แม้กระทั่งไคลแมกซ์ช่วงท้ายกับปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันก็ยังเลือกใช้การเล่าเรื่องในแบบที่แตกต่างออกไป ซึ่งมันก็ดูดีในแง่วิชวลแต่น่าเสียดายมากกว่าเพราะ Operation Thunderbolt มีดีเทลระหว่างภารกิจที่น่าสนใจ และมีความระหํ่าสูงมากเพราะเป็นภารกิจมหาหินระดับเกือบๆ จะเป็นไปไม่ได้ ที่จะทำให้สำเร็จโดยที่ตัวประกันปลอดภัยทุกคน ทว่ามันกลับออกมาดูแล้วจบแบบง่ายๆ เสียอย่างนั้น
และแม้จะได้ 2 ดาราระดับพระกาฬอย่าง Rosamund Pike และ Daniel Brühl มาแสดงนำ ทั้งคู่ก็ไม่อาจเปล่งประกายไปได้มากกว่าจุดที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ คือทั้งคู่เนี่ยทำหน้าที่ของตัวเองได้ตามมาตรฐานไม่มีผิดพลาด แต่ด้วยบทบาทในเรื่องและอาจรวมถึงการเกลี่ยบทของตัวหนังเอง ก็ส่งให้ทั้งคู่ไม่สามารถเบ่งพลังมาช่วยแบกหนังทั้งเรื่องได้เลยแม้แต่น้อย
กระนั้นตัวหนังยังมีส่วนที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีอยู่คือฟากการเมืองของอิสราเอลที่ฝั่งรัฐบาลต้องต่อสู้กับแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ตัวของนายกฯ อย่าง ยิตซัค และ รมต. กลาโหม ชิมอน ที่เชือดเฉือนกันทางความคิดและอุดมการณ์กันตลอดเรื่องคนหนึ่งอยากเจรจา อีกคนไม่ยอมโอนอ่อน ทว่าต่างก็เคารพซึ่งกันและกัน
ส่วนตัวแล้วผมชอบคาแรคเตอร์ของชิมอนมากๆ รู้สึกว่าเป็นข้าราชการคนใหญ่คนโตที่ทำงานอย่างมีกึ๋น มีความตั้งใจ มีอุดมการณ์ นอกคอกไปบ้าง แต่ก็ทำตัวอยู่ในกฎ แม้บางครั้งจะกระทำการทางอ้อมพาบีบให้กฎโอนเอียงมาทางเขาก็ตาม นอกจากนี้ยังมีวาทะศิลป์หว่านล้อมคนใต้อาณัติ เช่นการปลอบนายพลรายหนึ่งว่าหากภารกิจล้มเหลวคนที่ผิดไม่ใช่ตัวนายพลคนนั้นแต่เป็นนายกฯ ต่างหาก ขณะที่ช่วงท้ายพอภารกิจเสร็จสิ้น ชิมอนคือคนแรกที่ร่วมยินดีความสำเร็จกับนายก แต่ก็ไม่วายยิ้มในอารมณ์ประมาณ "บอกแต่แรกแล้วไงว่าให้เชื่อข้า" เป็นคาแรคเตอร์ที่มีสีสันมาก และเรียนตามตรงว่าพาร์ทการเมืองที่มีแต่คุยกันนี่แหละสนุกสุดในเริ่องแล้ว
7 days in Entebbe เป็นภาพยนตร์ที่มีความครึ่งๆ กลางๆ แม้กระทั่งอารมณ์หลังดูจบ เพราะมันไม่ใช่หนังที่แย่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรียกหนังที่ดีได้ไหม สนุกขนาดไหนก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะก็อย่างที่บอกว่าพาร์ทน่าเบื่อก็เยอะ แต่พาร์ทสนุกก็มี แต่หากใครที่อินในประวัติศาสตร์โลกช่วงนี้ไปดูก็อาจสนุกมากกว่าผมก็ได้ครับ เพราะก็ยอมรับว่าการที่ตัวหนังกล่าวถึงสถานการณ์หนึ่้งๆ ภายในเรื่องแล้วเราไม่เก็ทเนี่ย ทำเอาความสนุกลดไปไม่น้อยเลยล่ะ