ประเภท: แอคชั่น สยองขวัญ
ความยาว: 108 นาที
ผู้กำกับ: เซเวียร์ เจ็นส์
เขียนบท: จีซัส โอลโม่, เอรอน ชีน, อัลเบิร์ต ซานเชส พินอล
นักแสดง: เรย์ สตีเวนสัน, เดวิด โอคส์, ออร่า การ์ริโด
เรื่องย่อ
ที่ชายขอบของมหาสมุทรแอนตาร์กติก เรือไอน้ำลำหนึ่งได้มุ่งหน้าไปยังเกาะที่ดูเปล่าเปลี่ยว บนเรือมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นนักอุตุนิยมวิทยาประจำเกาะที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ แต่ทว่าเมื่อเขาได้ขึ้นฝั่ง เขากลับไม่พบร่องรอยของเจ้าหน้าที่คนเก่า สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงประภาคารที่ทิ้งร่องรอยของการต่อสู้เอาไว้ ต่อจากนี้อีก 12 เดือน โลกของเขาจะมีเพียงบ้านไม้โทรมๆ หิน ความเงียบ ทะเลที่อยู่ล้อมรอบ และรัตติกาลที่กำลังคืบคลานเข้ามา…
มาร์ค อัลเบลา — ผู้อำนวยการสร้าง
● พวกเราตกหลุมรักไปพร้อมๆ กันตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้อ่านนิยายฉบับนี้ มันราวกับมีอะไรมาพูดใส่ข้างหูพวกเราว่า “พวกเราต้องสร้างหนังเรื่องนี้”
● เราซื้อสิทธิ์ในการทำภาพยนตร์จากเขา และเราใช้เวลาในการพัฒนาภาพยนตร์ “Cold Skin” ถึงเกือบ 12 ปี
● มันเป็นหนังสือที่ดี แต่ยากที่จะดัดแปลงให้อยู่ในรูปของภาพยนตร์
● เซเวียร์เข้าร่วมทีมสร้างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
● เรารู้สึกว่าเขาคือผู้กำกับที่เหมาะกับหนังเรื่องนี้ที่สุด เราจึงใช้เวลาถึง 5 ปีในการพัฒนาบทร่วมกับเขา
● ช่วงที่เดนิสและผมได้อ่านนิยายนีี้ เราได้เดินทางไปชมทัศนียภาพแถวไอส์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เท่ารู้สึกว่าเหมาะกับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ในช่วงระหว่างเตรียมการถ่ายทำ ทีมงานฝ่ายวิชวลเอฟเฟคของเราที่ได้ทำงานในไอส์แลนด์กับซีรีย์ Game of Thrones บอกพวกเราว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะถ่ายทำกันที่นั่น สภาพอากาศในไอส์แลนด์นั้นหนาวมาก และพวกพรายจะต้องใส่ชุดที่บางราวกับไม่ได้ใส่อะไรเลย นักแสดงของเราจะต้องเจอกับฝันร้ายแน่ๆ ถ้าเราไปถ่ายทำกันที่นั่น แล้วเราจะไปที่ไหนกันดี? เมื่อคำถามนี้เกิดขึ้นก็มีทีมงานคนหนึ่งเสนอว่า ลองไปที่หมู่เกาะคานารีดูสิ และนั่นจึงทำให้เราได้พบกับไอส์แลนด์ที่มีแสงอาทิตย์
● เดนิสเป็นคนเสนอให้นำ กิล พาโรโด มาเข้าร่วมทีม ขอให้วิญญาณของเขาไปสู่สุขติ** กิล พาโรโด เป็นชายที่ได้รับรางวัลออสการ์มาถึง 2 ครั้ง และเราก็มีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับเขา
● สเปเชียลเมคอัพและวิชวลเอฟเฟคคือกุญแจสำคัญสำหรับการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เราทราบในจุดนี้มาตั้งแต่แรก ทีมงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้จึงได้ร่วมงานกับเราตั้งแต่เริ่มแรก เราได้ทำการบ้านเรื่องพรายและวิชวลเอฟเฟคสำหรับพวกมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อทำให้มันออกมาดูสมจริงและตอบสนองความต้องการของผู้ชม
** กิล พาโรโด เสียชีวิตในวันที่ 25 ธันวาคม 2016
เดนิส โอเดล — ผู้อำนวยการสร้าง
● ผมและมาร์คได้พบกันโดยบังเอิญที่เทศกาลภาพยนตร์ ณ กรุงเบอร์ลิน เขาได้พูดถึงหนังสือนิยายที่เขาชอบจนได้ซื้อลิขสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์มาจากผู้เขียนหนังสือ แต่เขาบอกว่ามันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในเวลานั้น หลังจากที่อ่านนิยายเสร็จ พวกเราก็ตัดสินใจร่วมมือกันในโปรเจกต์นี้
● เรามีความตั้งใจที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ดำเนินตามบทเหมือนในนิยาย
● พวกเราค้นพบว่าเราจะต้องสร้างประภาคารขึ้นมาเอง เพราะประภาคารก็เปรียบเสมือนตัวละครหนึ่งของพวกเรา ฉากแอคชั่นมากมายเกิดขึ้นทั้งข้างในและข้างนอกของตัวประภาคาร เราจึงต้องสร้างประภาคารหลังหนึ่งขนาดเท่าของจริงขึ้นมาบนเกาะลันซาโรเต หลังหนึ่งที่มีขนาดครึ่งหนึ่งจากของจริงสำหรับการถ่ายทำฉากโลดโผน และอีกหลังหนึ่งในสตูดิโอที่กรุงมาดริด รวมเป็นทั้งหมดสามหลัง!!
● ผมรู้สึกแปลกๆ ตอนที่ผมไปยื่นบทภาพยนตร์ให้กับ กิล พาโรโด ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 94 ปี เพราะมันเป็นบทที่มีความอีโรติกเล็กน้อย เมื่อเขาอ่านจบ เขาได้ถามผมว่า “ผมไม่มั่นใจเลย คุณแน่ใจนะว่าจะให้ผมรับงานนี้” ผมตอบกลับไปว่า “แน่นอนครับ แน่นอน ลองอ่านนิยายดูสิครับ” เมื่อเขาอ่านจบ เขาก็ให้คำตอบผมว่า “ผมเข้าใจแล้ว ตกลงครับ” เขาได้พูดคุยกับเซเวียร์ เขาเข้าใจหน้าที่ของเขา และเขาก็แสดงให้เห็นถึงนิยามของคำว่า ‘ตำนาน’ เขาเป็นคนออกแบบงานสร้างให้เรา เขาเข้าใจว่าเราต้องการอะไร เขาเป็นคนรุ่นเก่า เขาจึงออกแบบสิ่งต่างๆ ให้กับผู้กำกับไม่เพียงเพราะว่ามันจะออกมาสวยงาม แต่เพราะพวกเราต้องการสิ่งเหล่านั้น
● นักแสดงจะต้องเข้าไปข้างในความคิดของตัวละคร และอธิบายได้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ เพราะพวกเขาคือคนที่อยู่อาศัยบนเกาะร้างอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลานาน
เรย์ สตีเวนสัน — กรูเนอร์
● ใครก็ตามที่ได้อ่านนิยายจนจบ ความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านนิยายจะติดอยู่ในหัวของพวกเขา และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงได้มารวมตัวกัน
● นี่คือนิยายที่จะเป็นกระจกสะท้อนให้กับทุกคนถึงความเป็นมนุษย์ เราจำกัดนิยามของคำว่ามนุษย์อยู่ตรงไหน มนุษย์มีทั้งดีและร้าย ผมว่านี่คือสิ่งที่นิยายเรื่องนี้ตั้งใจที่จะสอนเรา
● เซเวียร์เป็นคนที่อุทิตให้กับการทำงาน เขาจะทุ่มเทให้กับงานอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเขาและมันก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเราทุกคน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยอุปสรรค์ในการถ่ายทำ เต็มไปด้วยตารางงานที่เร่งรัด แต่เขาก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องง่าย
● ถ้าคุณได้มาอยู่ที่กองถ่าย คุณจะได้พบกับทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยสีสัน เห็นทิวทัศน์ที่ราวกับพระเจ้าได้ปั้นมันขึ้นมา ธรรมชาติอันกว้างใหญ่ ทะเลอันสวยงาม ท้องฟ้าที่เปิดกว้าง และอาทิตย์อัสดง ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของภาพยนตร์
● มันโหดร้าย มันป่าเถื่อน มันจะฆ่าคุณ และคุณจะต้องเสียบางส่วนของคุณไปเพื่อแลกกับการป้องกันตัวเอง และถึงแม้ว่าคุณจะป้องกันตัวเองสำเร็จ คุณก็จะไม่สามารถขจัดความกลัวในตัวคุณออกไปได้
● ที่แห่งนั้นไม่มีต้นไม้แม้แต่เพียงต้นเดียว แต่ถ้าคุณให้เวลากับมันซักหนึ่งสหัสวรรษ ที่แห่งนี้ก็อาจกลายเป็นป่าได้ เพราะถ้าคุณสังเกตุดีๆ คุณก็จะเห็นร่องรอยของความเป็นไปได้นั้น
● ลองจินตนาการดูว่า ถ้าคุณต้องแสดงในหนังทั้งเรื่องด้วยการแต่งสเปเชียลเมคอัพทั้งตัวคุณจะทำอย่างไร ผมรู้มาว่า ออร่า การ์ริโด ได้ศึกษาท่าทีการเคลื่อนไหวของตัวละครของเธอจากนักมานุษยวิทยาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดังนั้นสิ่งที่คุณจะได้เห็นก็คือตัวละครที่มีการเคลื่อนไหวและการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
● ภาพยนตร์จะแสดงให้คุณเห็นถึงความสามารถของมนุษย์ในการอ่านความคิดของฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่พูดคนละภาษากับมนุษย์ และไม่สามารถทำความเข้าใจด้วยวิธีการปกติได้ มันเหมือนกับการที่เราได้ดูเด็กสองคนที่มาจากต่างซีกโลก แม้ว่าพวกเขาพูดกันคนละภาษา พวกเขาก็สามารถหาทางที่จะสื่อสารกันได้ พวกเขาจะใช้สีหน้า อารมณ์ และการกระทำเป็นเครื่องมือสื่อสาร การได้เห็นออร่าแสดงจึงเป็นอะไรที่วิเศษมากครับ
เดวิด โอคส์ — เฟรน
● นี่คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผมมีความสุขในการแสดงจนผมไม่สามารถหานิยามของความสุขนี้ได้เลยครับ
● นี่คือภาพยนตร์แนวแอคชั่น ระทึกขวัญ สยองขวัญ และนอกจากนั้นก็ยังมีองค์ประกอบของดราม่าในเรื่องนิยามของความเป็นมนุษย์ ความโดดเดี่ยว และความรัก มันคือภาพยนตร์แปลกใหม่ที่โดดเด่นอย่างน่าอัศจรรย์
● การแสร้งอาการหนาวเป็นการแสดงที่ยากลำบากมากที่สุด ตัวละครของผมต้องวิ่งไปวิ่งมาและมีอาการหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องสมมุติว่าผมเหงื่อออกเพราะความวิตกกังวลแทน
● การแสร้งว่าคุณอยู่ในโลกที่มีพรายสุดเซ็กซี่ผิวสีน้ำเงินเป้นอะไรที่ฟังดูแปลกมาก เราดำเนินเนื้อเรื่องตามมุมมองของเฟรน เริ่มแรกเขามองว่าพรายพวกนี้คือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเพราะพวกมันพยายามฆ่าเขา ความคิดนั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย จากนั้นเขาก็เริ่มมองเป็นเพื่อน เป็นสิ่งที่มากกว่าเพื่อน และเป็นสิ่งที่เขาควรให้ความเคารพ
ออร่า การ์ริโด — อาเนริส
● มันคือภาพยนตร์ไซไฟที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาด และสงครามระหว่างมนุษย์และพวกมัน แต่ลึกๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น
● มันทำให้ฉันนึกถึงประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลก พวกเราเลือกปฏิบัติกับสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
● พวกเราสามารถเลือกได้ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว เป็นคนดีหรือเป็นคนเลว ในบางครั้งความกลัวและความเปราะบางของจิตใจมนุษย์ทำให้เรากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่ในคราบคน
● ฉันต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อเตรียมสเปเชียลเมคอัพ ระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับฉากที่ฉันจะแสดงในวันนั้นๆ แต่มันก็ต้องใช้เวลาประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมงโดยเฉลี่ยต่อการเมคอัพในแต่ละวัน และนี่ยังไม่รวมการล้างเมคอัพที่ต้องใช้เวลาอีก 1 ถึง 2 ชั่วโมงนะ
● ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อ เธอก็คือมนุษย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ เธอมีความรู้สึกนึกคิด เธอต้องเผชิญกับเรื่องต่างๆ เหมือนพวกเราทุกคน เธอรู้จักความกลัว และเธอรู้จักความรัก
● ฉันชอบบทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ค่ะ เพราะมันสอนว่า ถ้าคุณเปิดใจให้กับคนที่อยู่ตรงหน้าคุณเหมือนดั่งเช่นที่คุณเปิดใจให้กับตัวเอง พวกเราทุกคนก็ล้วนเท่าเทียมกัน
อัลเบิร์ต ซานเชส พินอล — ผู้เขียนนิยาย
ด้วยความที่ว่าตัวผมเองเป็นนักมานุษยวิทยา มันได้ช่วยผมเป็นอย่างมากในการเขียน Cold Skin ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนนิยายเรื่องนี้ก็คือประสบการณ์ในช่วงที่ผมอยู่ในสาธารณรัฐคองโก
ในช่วงปี 1990 ผมอยู่ที่แอฟริกากลาง กำลังทำการศึกษาชนเผ่าปิกมี ในขณะที่ผมกำลังทำหน้าที่ของนักมานุษยวิทยาทั่วไปนั้น สงครามกลางเมืองก็ได้อุบัติขึ้น ผู้คนจำนวนมากถูกเข่นฆ่าด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อย
Cold Skin ไม่ใช่เรื่องของเผ่าพันธ์ ไม่ใช่เรื่องของสัตว์ประหลาด ไม่ใช่เรื่องของความเพ้อฝัน มันคือเรื่องราวของความสัมพันธ์ และการที่เรามองว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเราคือสัตว์ประหลาด ทั้งที่จริงๆ แล้วศัตรูเหล่านั้นก็เหมือนพวกเรา สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหวนกลับไปนึกถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมของมนุษย์ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมนิยายเรื่องนี้ถึงเป็นนิยายที่มีคุณค่า
การที่ผมได้เห็นกลุ่มคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถในวงการภาพยนตร์ได้มารวมตัวกันนั้นเป็นภาพที่วิเศษมาก พวกเขาได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงานที่สมบูรณ์แบบ โดยที่ยังคงความหมายภายในนิยายเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน
เซเวียร์ เจนส์ — ผู้กำกับ
● ผมได้เข้าร่วมโปรเจกต์ Cold Skin ตั้งแต่ปี 2011 มันเป็นการทำงานที่ยาวนาน ด้วยเหตุผลของการออกแบบพรายที่ปรากฏในภาพยนตร์ อย่างเช่น พรายหญิง อาเนริส เราต้องใช้เวลาออกแบบกันถึง 2-3 ปี กว่าที่เราจะหาข้อสรุปกันได้ลงตัว
● เราได้ใช้เวลาเกือบ 5 ปีในการเสาะหาสถานที่สำหรับการถ่ายทำ เราได้เดินทางไปทุกหนแห่ง ไอส์แลนด์ สเปน และเกาะลันซาโรเต จนกระทั่งเราได้พบกับสถานที่ในอุดมคติ
● ส่วนใหญ่เราถ่ายทำกันที่เกาะลันซาโรเต เราได้สร้างประภาคารที่เป็นจุดสำคัญของเรื่องขึ้นมาที่เกาะแห่งนี้ ทีมงานได้ใช้เวลาถึง 3 ปีกว่าในการหาสถานที่ถ่ายทำ ที่ตั้งของประภาคารนี้อยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติ Timanfaya ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีอายุ 3,000 ปี ซึ่งมีแต่พื้นที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่านที่มาจากการประทุของภูเขาไฟ เดิมทีเราได้ดูสถานที่ในไอส์แลนด์เอาไว้แล้ว แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่างเราจึงเลือกที่ลันซาโรเต
● ผมต้องการให้หนังของผมมีความสมจริงมากที่สุด ผมจึงถามนักวิทยาศาสตร์หลายท่านว่า มีความเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์จะมีวิวัฒนาการทำให้สามารถอยู่ใต้น้ำและสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างแอนตาร์กติกา และผมก็ถามพวกเขาด้วยว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้น้ำจำเป็นต้องมีรูปร่างเหมือนปลาวาฬหรือปลาโลมาหรือไม่ เมื่อผมได้คำตอบ เราจึงทำการออกแบบอาเนริสโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ผสมผสานกับปลาวาฬและปลาโลมา การสร้างพรายให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสมจริงนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของทีมงานเราเป็นอย่างมาก
แดเนียล อาลันโย — ผู้กำกับภาพ
● การสร้างโลกของนิยายให้กลายเป็นจริงคือหนึ่งในอุปสรรคขนาดใหญ่ของเรา นี่คือภาพยนตร์ไซไฟลึกลับที่ตัวละครต้องผจญภัยในสถานที่ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน งานของผมคือการจับภาพลักษณ์ของความดิบ ความเถื่อน และความสงบสุขที่แฝงไว้ภายใต้ความโหดร้ายเหล่านั้น องค์ประกอบเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณต้องการไปที่นั่น แต่แล้วคุณกลับพบว่ามันมีบางอย่างที่ลึกลับซ่อนอยู่
ดาวิด รามอส — ผู้ดูแลฝ่ายวิชวลเอฟเฟค
● พวกพรายเหล่านั้นแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่พวกมันก็มีบางส่วนที่เชื่อมโยงเข้าหามนุษย์ได้ พวกมันจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์ซะทีเดียว อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะนอกจากพรายที่ใช้กราฟฟิคสร้างขึ้นมาแล้ว ก็ยังมีพรายอีกหลายตัวที่เราใช้นักแสดงแต่งสเปเชียลเมคอัพ เราจึงต้องทำให้พรายของเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ยังคล้ายคลึงกับมนุษย์
คูโค อูซิน — ผู้ออกแบบคิวบู๊
● ฉากที่ยากที่สุดในการถ่ายทำคือฉากที่พวกพรายต้องไต่ประภาคาร เพราะพวกเขาต้องไต่โดยปราศจากการใช้สลิงเนื่องจากสเปเชียลเมคอัพของพวกเขา เราจึงไม่สามารถให้พวกเขาใช้สลิงได้
ฟีลิกซ์ เบอเกส — ผู้ดูแลฝ่ายวิชวลเอฟเฟค
● มีฉากๆ หนึ่งที่สำคัญมากในหนัง มันคือฉากที่เกิดขึ้นใต้ท้องทะเล เนื่องจากการถ่ายทำในรูปแบบปกตินั้นเป็นไปได้ยากมาก เราจึงใช้เทคนิกพิเศษเข้ามาช่วยในการถ่ายทำฉากนี้
● เทคนิกนี้มีชื่อว่า “Dry for Wet (ตัวแห้งเพื่อตัวเปียก)” ไอเดียนี้ได้มาจากเซเวียร์ เราถ่ายทำกันในสถานที่ปกติ (ที่แห้ง) และเราจึงใส่เอฟเฟคที่ทำให้ตัวละครของเราอยู่ในน้ำ (ที่เปียก) ผลลัพท์ที่ออกมานั้นเยี่ยมยอดมาก
● เราได้ใส่ละออง ฟองน้ำ และสิ่งต่างๆ เข้าไปในฉากนั้น มันทำให้เราสามารถสร้างภาพเสมือนของการอยู่ใต้น้ำได้
● สำหรับพวกเราแล้ว ตัวละครหลักของเราคือฝูงพราย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเราได้ทุมเทแรงและเวลาให้กับพวกมันเป็นอย่างมาก เราได้สร้างพรายเหล่านั้นด้วยกราฟฟิคเพื่อใช้พวกมันในการจู่โจมประภาคาร มันเป็นจุดที่สร้างยากที่สุดสำหรับหนังเรื่องนี้เลย
พอล คอสต้า — ฝ่ายประสานงานด้านสเปเชียลเอฟเฟค
● ในฉากใต้ทะเลที่เราต้องถ่ายทำด้วยเทคนิก “Dry for Wet” เราต้องทำให้น้ำทะเลที่ปรากฏดูเหมือนกับของจริง
● เราได้ใช้ผงฝุ่นและปูนขาวจำลองเป็นพื้นใต้มหาสมุทร ทำให้ภาพที่ออกมาเหมือนคุณเห็นคนที่กำลังเดินอยู่ใต้ทะเลจริงๆ
● เราจำลองหิมะที่อยู่รอบประภาคารด้วยวัสดุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โฟม กระดาษ หรือวัสดุชนิดอื่นๆ เป็นตัวแทนของหิมะ
อาทูโร บาลเซย์โร — ฝ่ายออกแบบสิ่งมีชีวิต
● อาเนริสเป็นตัวละครที่มีการออกแบบที่ซับซ้อนมาก ร่างกายของเธอต้องเปลือยเปล่าและดูสง่างามอยู่ตลอดเวลา จะต้องไม่มีม้กระทั่งฝุ่นมาเกาะบนตัวของเธอให้เห็น เราต้องออกแบบเธอทั้งตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักแสดงของเราจะต้องแก้ผ้าแสดงแต่อย่างใด
● แรงบันดาลใจของพรายส่วนมากมาจากฉลาม** ปลาโลมา และปลาบางชนิด รวมถึงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางตัว สิ่งที่เป็นอุปสรรคจริงๆ คือการทำให้พรายเพศหญิงมีสเน่ห์ดึงดูดที่แตกต่างไปจากมนุษย์ เพราะเวลาที่เธอโกรธ โชว์เหงือก พังผืด หรือเยื่อเมือกต่างๆ เธอก็ยังต้องดูเซ็กซี่ด้วย สำหรับพรายเพศชาย พวกมันจะต้องดูดุดัน คุณจะไม่เข้าใจว่าพวกมันเหมือนกับเธอตรงไหนจนกระทั่งคุณได้รับชมถึงตอนท้ายของเรื่อง
ทาเทียน่า เฮอนันเดส — ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
● เพราะว่าเรามีตัวละครน้อย เราจึงต้องใส่ใจในรายละเอียดด้านเสื้อผ้าเป็นพิเศษ เราต้องถ่ายทำเรื่องที่เกิดในบริเวณอาร์กติกภายในสถานถ่ายทำที่ร้อนระอุ เราจึงต้องให้พวกเขาได้ใส่เสื้อผ้าที่ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกว่า “ฉันคงต้องร้อนตายในชุดนี้แน่ๆ” เสื้อผ้าที่เราตัดให้เป็นเสื้อผ้าที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายและไม่ร้อน
ข่าวประชาสัมพันธ์