เพื่อคนที่เรารัก เราจะเสียสละให้ได้มากแค่ไหน?
โจทย์ตัวเป้งๆ นี้เหมือนเป็นพิมพ์นิยมที่ภาพยนตร์แนวรักโรแมนติกมักใช้กันมาเกือบทุกยุคทุกสมัย ซึ่งนอกจากจะเป็นการเล่นแง่กับความคิดคนดูแล้ว ยังเป็นการยิงคำถามกลับไปด้วยว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความรักที่คนสองคนร่วมสร้างกันมาจะมากพอที่จะทำอะไรเพื่อกันและกันได้มากแค่ไหน เช่นเดียวกับ Destiny: The Tale of Kamakura หนังโรแมนติกคอเมดี้กึ่งแฟนตาซี ที่พยายามจะใช้โจทย์นี้ถามเราดูสักตั้งครับ
เนื้อเรื่องของ Destiny: The Tale of Kamakura เป็นการดัดแปลงมาจากการ์ตูนมังงะเรื่อง Kamakura Monogatari ที่เคยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1984 ซึ่งเล่าถึงคู่ข้าวใหม่ปลามันระหว่าง มาซาคาซึ อิชชิกิ นักเขียนนิยายแนวลี้ลับ กับ อากิโกะ ภรรยาสาวที่อายุอ่อนกว่าตนเองกว่า 10 ปี โดยหลังจากแต่งงานแล้ว อากิโกะก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในบ้านสามีที่เมืองคามาคุระ และพบว่าเมืองดังกล่าวอุดมไปด้วยภูตผีปีศาจและวิญญาณคนในเมืองที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นมิตรกับทั้งคู่ จากนั้นสองสามีภรรยาก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันท่ามกลางความอลเวงของเหล่าสิ่งเหนือธรรมชาติ พร้อมเรียนรู้ความเป็นชีวิตคู่ไปในตัว
ทั้งนี้ แม้สิ่งที่ปรากฏบนหน้าหนังและในเทรลเลอร์จะพยายามชูว่ามันมีความเป็นแฟนตาซีเป็นธีมหลัก แต่แก่นกลางของเรื่องจริงๆ คือการสอดแทรกแง่คิดของการใช้ชีวิตคู่ครับ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้ซึมซับวัฒนธรรมครอบครัวของชาวญี่ปุ่นในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการให้เกียรติกันและกันของสามีภรรยา การปรนนิบัติและเข้าอกเข้าใจในตัวสามีโดยภรรยา ตลอดจนการเสียสละเพื่อคนที่ตนเองรัก ซึ่งบางประเด็นก็สะท้อนให้เห็นภาพลางๆ ด้วยว่าสังคมญี่ปุ่น รวมถึงอีกหลายๆ ประเทศในเอเชียก็ยังคงยกผู้ชายให้เป็นใหญ่กว่าผู้หญิงอยู่
อนึ่ง หนังเรื่องนี้ได้เลือกใช้ลักษณะการดำเนินเรื่องแบบเส้นตรง ทว่าในขณะที่หนังกำลังนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอก ก็จะมีตัดไปยังเหตุการณ์ของตัวละครอื่นๆ อยู่บ้างเป็นระยะ เพื่อให้เราได้เห็นมิติอื่นๆ ของพระเอกที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และแง่คิดดีๆ จากตัวละครอื่นรอบตัวพระเอกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความรักและการเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัวแบบคนเข้าใจโลกและสัจธรรมนั่นแหละครับ โดยที่เกือบทุกเส้นเรื่องมักจะได้บทสรุปที่ซึ้งกระตุ้นน้ำตาคลอกลับไป
หากจะมีจุดที่รู้สึกติดขัด ก็คงมีเพียงเรื่องราวระหว่างพระเอกกับนางเอกก่อนแต่งงาน ที่มองว่าหนังปูมาน้อยมาก จนพอถึงกลางเรื่องจะชวนขมวดคิ้วอยู่เหมือนกัน เพราะสงสัยเหลือเกินว่าทำไมนางเอกถึงได้รักพระเอกปานจะกลืนขนาดนี้ กระทั่งช่วงท้ายเรื่องที่หนังได้ย้ายโลเคชั่นไปอีกที่หนึ่ง (ไม่ขอสปอยล์ว่าที่ไหนนะครับ) จึงค่อยมาเฉลยด้วยเหตุผลที่นิย๊ายยย…นิยายเหลือเกิน แต่ก็เข้าใจได้ว่าตัวหนังมันมีความเป็นแฟนตาซีครอบอยู่ เลยพอหยวนๆ ไปได้
งานภาพของหนังเรื่องนี้ คุณภาพเยี่ยมสมกับเป็นประเทศแถวหน้าของเอเชียครับ CG ที่ใช้มีความละเมียดละไม ยิ่งตอนท้ายที่พระเอกได้เดินทางไปสถานที่อีกแห่ง ทำเอาอยากชมทิวทัศน์ไปตลอดทางเลย และที่น่าทึ่งอีกอย่างคือฝีไม้ลายมือของ มาซาโตะ ซากาอิ (เคยมีผลงานเด่นคือซีรีส์ Hanzawa Naoki และ Legal High) ที่ไม่ว่าจะบทจริงจัง บทฮา บทเศร้าน้ำตาแตก หรือต้องปรับอารมณ์ปุบปับ พี่แกเอาอยู่แทบทุกฉากเลยก็ว่าได้
(ล่าง) รูปปกเวอร์ชั่นการ์ตูนมังงะ เมื่อสมัย 34 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม องค์รวมของ Destiny: The Tale of Kamakura เป็นหนังโรแมนติกที่ฉาบด้วยกลิ่นอายแฟนตาซี เคล้าด้วยจินตนาการเรื่องโลกหลังความตายได้แบบมีชั้นเชิงดีครับ ใครที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ เหมาะที่จะไปดูหนังเรื่องนี้มาก เพราะแง่คิดหลายๆ อย่างที่แฝงมากับเรื่องนี้ทำให้รู้สึกได้เลยว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว มุมมองต่างๆ ของผู้คนก็จะชวนจรรโลงสังคมควบคู่กันไปด้วย
คะแนน 8 / 10