Maze Runner คือภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงจากนิยายในชื่อเดียวกันซึ่งฉายภาคแรกไปในปี 2014 ก่อนกลายเป็นภาพยนตร์เซอร์ไพรส์ฮิตเบาๆ ไปในปีนั้น ด้วยธีมเรื่องแนว Dystopia ที่มาพร้อมความแปลกใหม่ในการนำเสนอ การเอาชีวิตรอดในเขาวงกตพื้นที่จำกัดสุดตื่นเต้นของเหล่าตัวเอก ทำให้ตัวภาพยนตร์เข้าไปนั่งอยู่ในใจใครหลายๆ คน และแทบจะแจ้งเกิดก๊วนนักแสดงนำอย่างเต็มตัว จากนั้นในปี 2015 ตัวภาพยนตร์ก็เดินทางกันต่อกับภาค The Scorch Trials ที่ขยายสเกลการผจญภัยขึ้นก่อนจบ
ลงด้วยความพีตแบบคลิฟแฮงเกอร์
และด้วยอันที่จริงแล้วภาคจบอย่าง The Death Cure จะต้องมาทำหน้าที่ของมันในปี 2016 ทว่าด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพระเอกหนุ่มอย่าง Dylan O'Brian ทำให้การถ่ายทำต้องเลื่อนไป 1 ปีเต็มๆ กระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้นกระบวนการพร้อมเข้าฉายก็ส่งให้ The Death Cure ฉายห่างจากภาคที่แล้ว เกือบๆ 3 ปีเลยทีเดียว
ว่ากันตามตรงผมมีความรู้สึกว่า Maze Runner สูญเสียความโดดเด่นที่สุดของมันไปทันทีตั้งแต่กลุ่มตัวเอกวิ่งออกมาจากวงกตได้สำเร็จ มันเหมือนกับเขาวงกตที่กักกันวิถีชีวิตของเหล่าตัวเอกได้ก่อให้เกิดบรรยากาศชวนให้ติดตามอยู่ภายใน และครอบกั้นไว้ซึ่งความจำเจจากภายนอก และเมื่อพวกเขาเลือกจะวิ่งหนีออกมา ในความสำเร็จของกลุ่มตัวเอก สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่คือดินแดนมอดไหม้ตามชื่อในภาคที่ 2
ซึ่งคำว่า "มอดไหม้" ไม่ได้หมายเพียงชื่อดินแดน แต่ยังหมายถึงสิ่งที่เหลือทั้งหมดของเรื่องนี้อีกด้วย ทำให้เป็นงานยากมากสำหรับผู้กำกับอย่าง Wes Ball ที่จะทำให้มันมีความน่าสนใจและฉุดดึงผู้ชมไปด้วยกันได้ตลอดเรื่อง แม้เขาจะทำภาคแรกไว้ได้ดีขนาดไหนก็ตามซึ่งผลตัดเกรดออกมาผมคิดว่า "ก็พอได้นะ"
The Death Cure จะเล่าถึงกลุ่มของ Thomas พระเอกของเรื่องในอีก 1 ปีถัดมาที่สาละวนอยู่กับการตามช่วยเพื่อนรักอย่าง Minho หลังถูกจับไปในท้ายภาค 2 ครับ ซึ่งเรื่องก็ไล่สเกลความใหญ่ในการต่อสู้ขึ้นเรื่อยๆ ทว่าในทางกลับกันมันก็แทบจะกลายเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จเช่นภาพยนตร์ Dystopia จากนิยายวัยรุ่นอีกหลายต่อหลายเรื่อง
คือเริ่มจากตัวเอกเป็นพวกพิเศษ > โดนไล่ล่าจากทางการ > รอดมาเจอกลุ่มต่อต้าน > กลายเป็นผู้นำกลุ่มต่อต้านแล้วกลับมาลุยกับรัฐบาล
อาจไม่เป๊ะ แต่คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ ซึ่งมันทำให้เราพอคาดเดาเนื้อเรื่องได้ในหลายๆ ส่วน มีเซอร์ไพรซ์บ้างแต่ก็ไม่มาก และเป็นการเซอร์ไพรซ์ที่ไม่ค่อยมีชั้นเชิงเท่าไหร่แต่ก็ชวนตะลึงอยู่เล็กๆ ล่ะนะ นอกจากนี้การดำเนินเรื่องก็มีความแอบอืดอยู่ไม่น้อย ความระทึกทำได้ไม่ค่อยถึง จังหวะเร้าแบบภาคแรกก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เรียกว่าการวิ่งไปพร้อม Thomas คราวนี้ไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะพาไปเจอกับอะไรอย่างในภาคแรก แต่เป็นจะจบในทรงไหนมากกว่า
อย่างไรก็ดีตัวหนังค่อนข้างจะเคลียร์ทุกประเด็นได้ครบ และผมชอบมุมมองการถ่ายในหลายๆ ซีนมากๆ เพราะให้เราได้เห็นภาพมุมกว้างของเรื่อง เช่นในซีนต่อสู้หรือสงคราม ที่พอมันเป็นภาพกว้างแล้วเรารู้สึกว่ามันอลังการใช้ได้เลยครับ ทำให้ในองค์สุดท้ายค่อนข้างมีความบันเทิงขึ้นมาพอสมควร
โดยสรุปคือ The Death Cure เป็นภาพยนตร์ปิดไตรภาคที่อาจไม่ได้ระทึกปรอตแตกระดับเดียวกับภาคแรก แต่ก็ทำหน้าที่ของมันในการสรุปเรื่องราวได้ดีทีเดียว ใครที่ตามมา 2 ภาค ยังไงภาคนี้ก็เชียร์ให้มาดูเพื่อปิดจ็อบไตรภาควิ่งหนีวงกตอย่างสมบูรณ์ครับ เพราะท้ายที่สุดผมว่าภาคนี้ก็บันเทิงใช้ได้ล่ะ
อะไรนะ? IG Story เฌอปรางไปดู The Death Cure กับปัญแล้วบอกสนุก?
...
..
.
เอ่อ... ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยมและดีที่สุดในไตรภาค Maze Runner เลยแหละ! #เฌอว่าดีผมก็ว่าดี #ตามนั้นย์