การกลับมาของเฉินหลง ดาราแอ็กชั่นอาวุโสที่อายุอานามป่านนี้ก็ปาเข้าไป 63 ปี ในช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยให้ผู้เขียนเซอร์ไพรส์ได้เท่าไหร่แล้วครับ เพราะรู้สึกมานานแล้วว่าแกควรจะลองรับเล่นบทหนักๆ สุดสะเทือนใจในฮอลลีวู้ดดูบ้าง อย่างน้อยก็พอช่วยพัฒนาฝีไม้ลายมือด้านแอ็กติ้ง เพื่อทดแทนความคล่องแคล่วของร่างกายที่รอวันปลดระวางเต็มทีได้อยู่ ซึ่งหน้าหนัง Bleeding Steel ก็ทำให้เราต้องมาลุ้นกันอีกทีครับว่าหากเฉินหลงต้องไปสวมเกราะบู๊แบบไต่ระดับหลายหมื่นฟิตนี่จะออกมาเป็นเช่นไรกันแน่
พล็อตเรื่องมีการปูเรื่องแบบเล่นใหญ่พอตัวด้วยการเกริ่นว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์รุดหน้าไปไกลถึงขนาดสามารถสร้างหัวใจเทียมที่เป็นเครื่องจักร สามารถใส่เข้าไปในร่างมนุษย์เพื่อทำงานแทนหัวใจจริงๆ ที่เกิดภาวะผิดปกติได้ แถมผลข้างเคียงของมันยังทำให้ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนหัวใจเทียมสามารถฟื้นฟูบาดแผลตามร่างกายได้ไวเหมือนมีฮีลลิ่งแฟคเตอร์แบบเกมแอ็กชั่นทั่วไป รวมถึงยานพาหนะของเหล่าร้ายก็เป็นยานรบขนาดยักษ์ที่ดูรูปทรงแล้วน่าจะใช้บินไปดาวอังคารได้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ Bleeding Steel มีโปรดักชั่นระดับที่ใกล้เคียงกับหนังเกรด B มากเกินไป เลยทำให้องค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นแอ็กติ้งของนักแสดงหลายคน รวมถึงคิวบู๊ และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งฝ่ายดีและร้ายล้วนดูแล้วไม่น่าเชื่อถือได้เลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันคือหนัง "สไตล์เฉินหลง" ที่บทบู๊มักจะชอบสอดแทรกความตลกเข้าไป ทว่าพอมาพิจารณาร่วมกับโครงเรื่องและธีมของหนังที่มันควรจะออกแนวจริงจังมากกว่า จึงรู้สึกอยู่บ่อยครั้งระหว่างที่ชมภาพยนตร์ว่า ช็อตนี้มันควรจะซีเรียสบ้างนะ อะไรทำนองนี้
สิ่งที่อยู่คู่มานานกับหนังจีนในไทยอย่างเสียงพากย์จากทีมพันธมิตรก็เป็นจุดดีและจุดด้อยในคราวเดียวกันครับ หลายๆ มุกตลกที่ทีมงานแทรกเข้ามาเป็นระยะช่วยให้ตัวหนังไม่น่าเบื่อเกินไปนัก แต่ในขณะที่บางมุกก็ค่อนข้างจะสองแง่สองง่ามไปหน่อย แถมบางช่วงที่ตัวเองเลือกที่จะเดินเรื่องแบบเงียบๆ พี่แกก็ดันยิงมุกแบบไม่ดูจังหวะจะโคน จนอารมณ์ที่หนังจะสื่อในช่วงเวลานั้นมันดูขัดกันทันที
แม้ว่า Bleeding Steel กับ The Foreigner จะเป็นหนังแอ็กชั่นคนละฟีลกัน แต่ผู้เขียนมองว่า The Foreigner กลับสร้างความประทับใจได้มากกว่า นั่นก็เพราะว่าเรื่องดังกล่าวรีดเค้นความสามารถในด้านการสื่อสารทางอารมณ์ของเฉินหลงออกมาได้ดีกว่า รวมถึงการปูเรื่อง แรงจูงใจของคนร้ายในเรื่องก็ดูสมเหตุสมผลกว่า ทว่า Bleeding Steel ก็ดูพอเอาเพลินๆ ได้ระดับหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวอยากเห็นเฉินหลงลองเล่นบทหนักๆ เหมือนกับที่เคยเล่น The Foreigner ดูในหลายๆ เรื่องบ้าง บางทีอาจจะเอื้อกับสังขารของเฉินหลงที่เริ่มจะโรยเข้าไปทุกทีก็เป็นได้
ลึกๆ แล้วยังเชื่อมั่นอยู่เสมอนะครับว่าเฉินหลงยังสามารถหา Way ของหนังที่ตัวเองเล่นแล้วปังต่อยอดได้อีกโดยที่ไม่ต้องฉีกไปไซไฟแฟนตาซีจ๋า หรือแอ็กชั่นตะบี้ตะบันแบบสมัยหนุ่มๆ เพียงแต่ลำพังจะมี Way อย่างเดียวก็อาจจะไม่พอ ของแบบนี้อาจต้องใช้หลัก "3 ถึง" เข้ามาช่วย ซึ่งก็คือ เงินถึง (หาแหล่งทุนดีๆ มาทำโปรดักชั่นดีๆ), มือถึง (ไปหาผู้กำกับมือทอง คนเขียนบทเทพๆ มาเสริมคุณภาพหนัง) และตาถึง โดยอย่างหลังสุดอาจต้องหวังพึ่งคอนเน็กชั่นหรือบารมีของเฮียเฉินหลงเองแล้ว