รีวิว: The Killing of a Sacred Deer - ปั่นหัว ปวดประสาท กับธรรมชาติของมนุษย์

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว: The Killing of a Sacred Deer - ปั่นหัว ปวดประสาท กับธรรมชาติของมนุษย์

     ผมไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง Lobster ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับชาวกรีซ Yorgos Lanthimos แม้กระนั้นก็เคยได้ยินชื่อนับรวมกิตติศัพท์ต่างๆ อยู่บ้าง โดยเฉพาะกับความลุ่นลึกในการเสียดสีเรื่องความรักอย่างแยบยล อย่างไรก็ดี "ลุ่มลึกในการเสียดสีอย่างแยบยล" ในโลกของแผ่นฟิล์มนั้นมักจะหมายความได้ว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ดูยาก ต้องคิดตาม และไม่ใช่ทุกคนที่สนุกกับมัน ดังนั้นแล้วก่อนชมภาพยนตร์ The Killing of a Sacred Deer หรือในชื่อไทย "เจ็บแทนได้ไหม" ผมจึงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ทว่าไม่คิดหาข้อมูลไปเพิ่มแต่อย่างใดเพราะอยากรู้ว่าตัวภาพยนตร์จะเล่าเรื่องให้ดูยากในเลเวลไหน และตัวผมซึ่งโดยส่วนใหญ่จะชมภาพยนตร์แมสๆ เป็นหลัก จะเก็ทเรื่องราวที่ผู้กำกับต้องการสื่อสักเพียงไร

     มารู้ทีหลังว่าตัวภาพยนตร์สร้างโดยอิงโครงจากปกรณัมกรีกเรื่อง Iphigenia in Aulis ซึ่งถ้าจะนับรวมเป็น Troy Saga ก็พอได้ เพราะจะเป็นช่วงต้นๆ ก่อน Agamemnon บุกกรุงทรอย แต่ก็ใช่ว่าคนที่เคยอ่านเรื่อง Troy ทุกคนจะเก็ทนะครับ เพราะสารภาพว่าสมัยเรียนผมอ่านเรื่อง Troy รวมถึงเล่นเกมที่มีพูดถึงเรื่องนี้เยอะมาก แต่ความสนใจส่วนใหญ่ดันไปกองอยู่กับความสงสัยว่าแม่ของอคิลลิสรีบหรืออย่างไรถึงไม่ชุบลูกให้ได้ทั้งตัว? คือมันไม่น่าจะยากนะ แต่ก็ช่างมันเถอะ กลับมาพูดถึง เจ็บแทนได้ไหม กันต่อดีกว่า

     ตัวเรื่องเปิดอย่างธรรมดาๆ สามัญให้เห็นถึงชีวิตที่ดีมีความสุขของครอบครัว Murphy ซึ่งประกอบด้วย Steven, Anna, Kim และ Bob ก่อนจะค่อยๆ วายป่วงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเด็กหนุ่มที่ชื่อ Martin ก้าวเข้ามา กระทั่งเกือบจะเข้าขั้นวิปลาสในช่วงท้ายๆ ของเรื่อง 

     แน่นอนว่าจุดเด่นของภาพยนตร์คือการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร และน่าจะเป็นลายเซ็นต์ของผู้กำกับท่านนี้ เพราะในมุมมองของคนที่ไม่เคยชมผลงานชิ้นก่อนๆ ของพี่แกเช่นผมก็รู้สึกได้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกว่า "มันมีของ" ตัวภาพยนตร์มีบรรยากาศชวนอึดอัดบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออกตลอดทั้งเรื่อง ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับการใช้เพลงประกอบที่บทจะเงียบก็กรี๊บ บทจะมาก็เป็นซาวด์ชวนประสาทแตกที่ดังแบบไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนพาหัวใจเต้นตามอย่างระทึก และไม่ใช่ทำแค่บางซีน แต่เป็นแบบนี้ตลอดทั้งเรื่อง จนอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าคนเป็นโรคหัวใจอาจไม่เหมาะกับเรื่องนี้รึเปล่านะ?

     ซึ่งก็เช่นเดียวกับซาวด์ ความพีคและวายป่วงของบทภาพยนตร์มันไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งซีนสุดท้ายของเรื่องที่ทั้งรู้สึกว่ามันดูบ้าบอสุดๆ แต่เรากลับเข้าใจการตัดสินใจของพวกเขาว่าทำไมถึงออกมาอีหรอบนั้น ก่อนจะจบแบบให้ไปคิดต่อกันเอาเอง เพราะภาพยนตร์จะไม่แปะเฉลยให้เราเห็นกันโต้งๆ ไม่แม้แต่มีซีนบอก ทั้งยังใช้การบอกเล่าทางสัญญะในบางส่วน คุณต้องชมภาพยนตร์อย่างละเมียดมาตั้งแต่แรกเพื่อเก็บการกระทำและคำพูดทุกฉากทุกตอนของทุกตัวละครมาประกอบกัน เพื่อก่อเกิดเป็นบทสรุปในหัวที่แท้ทรู ดังนั้นแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเก็ทแต่ทุกคนมีสิทธิ์งงได้เหมือนๆ กัน

The Killing of a Sacred Deer

     ในแง่การแสดง Farrell กับ Kidman มาตรฐานสูงอยู่แล้วไม่แปลกใจที่จะเอาบทจนอยู่หมด แต่ที่เซอร์ไพรส์คือพ่อหนุ่ม Barry Keoghan ผู้หน้าละม้ายคล้าย Jesse Lingard นักเตะแมนยูฯ ที่แสดงเป็น Martin ได้ดูมีปัญหาทางจิตมากๆ ไม่ว่าจะท่าทาง การแสดงสีหน้า แววตา นับรวมไปถึงคำพูดคำจา เรียกได้ว่าพลิกบทบาทจากลุคใสๆ ใน Dunkirk ไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียวครับ

     The Killing of a Sacred Deer ไม่ใช่ผลงานที่จะโดนใจทุกคน ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะสามารถดูผ่านๆ แล้วเข้าใจได้ง่ายๆ มันคือชิ้นงานเชิงสูงที่เล่นกับจิตวิทยาและแง่มุมความเป็นธรรมชาติของชีวิตมนุษย์อย่างหนักจนแทบสำรอก เสริมทับด้วยการใช้ซาวด์ประกอบในระดับที่เฉียบขาดและชวนอึดอัดที่สุดเรื่องหนึ่ง The Killing of a Sacred Deer จึงเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์โปรแกรมทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ หากต้องการอะไรที่หนักๆ และชวนคิดประเภท "หนังจบ อารมณ์ไม่จบ" นี่คืออีกงานส่งท้ายปีที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ครับ

The Killing of a Sacred Deer

แชร์เรื่องนี้:
Dark_Libra
About the Author

Dark_Libra

Everything in this world comes down to the matter of ponytail

เรื่องที่คุณอาจสนใจ