Saw ภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่เคยสร้างปรากฏการณ์และมาตรฐานใหม่ๆ ให้กับวงการหนังสยองขวัญเมื่อ 13 ปีก่อน และทำให้ชื่อของ เจมส์ วาน ผู้กำกับ Saw ภาคแรกดังเป็นพลุแตกชั่วข้ามคืน แถมยังกลายเป็น 1 ในผู้กำกับหน้าใหม่ที่น่าจับตามองของฮอลลีวู้ดทันที ต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถูกทำภาคต่อมาเพียบ จนมีจำนวนภาคพอๆ กับซีรีส์ Fast and Furious ไปแล้ว และ Jigsaw นี่ก็เป็นภาคที่ 8 ของซีรีส์ ที่อุดมไปด้วยความหวังและงุนงงของแฟนๆ ว่าจะออกมาดีเหมือนแต่ก่อนมั้ย และจะหาทางต่อยอดเรื่องราวไปได้อย่างไร ในเมื่อเนื้อเรื่องมันควรจะจบไปตั้งแต่ภาค 7 แล้วด้วย
Jigsaw ปูเรื่องมาด้วยการเล่าเหตุการณ์จาก 2 สถานที่สลับไปมา เหตุการณ์แรกเป็นฝั่งตัวละครหลักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งพยายามแกะรอยคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ที่ร่างกายของเหยื่อแต่ละคนล้วนมีเบาะแสเชื่อมโยงไปยัง จอห์น คราเมอร์ หรือฆาตกรต่อเนื่องฉายา "จิ๊กซอว์" ที่เชื่อกันว่าตายไปแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน กับอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงนา โดยมีเหยื่อ 5 คนถูกจับมาเล่นเกมมรณะที่ออกแบบกฎและกติกาโดยผู้ที่คาดว่าจะเป็น "จิ๊กซอว์" ที่อาจยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเกมแต่ละอย่างที่ประเคนมาให้ผู้เล่นได้ดูนั้นล้วนการันตีด้วยฉากเลือดสาดและชวนแหวะเลยทีเดียว
จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เคยดู Saw ภาคแรกมาก่อน (และเคยดูเพียงภาคเดียวด้วย) หากจะให้เอามาเปรียบเทียบกับ Jigsaw คงต้องบอกว่า Saw นั้นจะมีภาษีดีกว่าในเรื่องของ "ชั้นเชิง" ของการลำดับเรื่องที่ทำให้คนดูเดาทางได้ยากมากว่าใครคือจิ๊กซอว์ รวมถึงการค่อยๆ เล่นแง่กับความรู้สึกคนดูเพิ่มขึ้นทีละน้อยเมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นศิลปะที่ เจมส์ วาน เคยทำมาตรฐานไว้สูงก็คงไม่ผิดนัก และฉากการตายต่างๆ ที่เคยปรากฏในภาคแรกก็ไม่จำเป็นต้องเน้นเลือดกระฉูดมากมาย แค่ปล่อยให้คนดูจินตนาการต่อยอดกันเองก็ดูเนียนตาแล้ว ซึ่งใน Jigsaw นี้เราจะได้เห็นฉากการตายของเหยื่อแต่ละคนราวกับเล่นเกม Mortal Kombat กันเลย บางทีเลยชวนให้รู้สึกว่ายิ่งทำ Saw มาหลายภาค ก็ยิ่งจะไม่ค่อยแตกอะไรกับซีรีส์ Final Destination ไปแล้ว (เน้นฉากตายโหดๆ พร่ำเพรื่อเกินไป)
เส้นเรื่องของหนังตลอดทั้งเรื่อง จะพยายามชี้นำและจูงใจให้เราสงสัยว่าใครที่น่าจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวจริง หลายช่วงมีการเบนให้คนดูรู้สึกเขวและไม่มั่นใจว่าตัวละครนั่นนี่โน่นจะใช่จิ๊กซอว์หรือไม่ ทว่าการขยี้และชี้นำดันทำมาถี่และจงใจเกินไป จนรู้สึกได้ว่าถ้ามาทรงนี้ คนที่ตัวหนังไม่นำพาให้เราคิดถึงเลยนั่นแหละคือจิ๊กซอว์ และมันก็ใช่จริงๆ ซึ่งพอพลาดในจุดนี้เลยพาลทำให้คนดูเดาทางง่าย และหมดลุ้นไปตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ช่วงท้ายของหนังไปโดยปริยาย
ด้วยความที่ Jigsaw คือภาคที่ 8 ของซีรีส์ รูปแบบการนำเสนอของตัวหนังเลยเอื้อกับคนที่เคยดูภาคก่อนหน้ากันมาบ้างแล้ว ดังนั้นหากใครไม่เคยดูภาคแรกๆ มาก่อนจะสับสนอยู่บ้างว่าบางตัวละครคือใคร และมีความสัมพันธ์ในอดีตกับอีกตัวละครอย่างไร เพราะในหนังจะเล่าปูพื้นให้เราน้อยไปหน่อย กลายเป็นว่าพอทำไปหลายๆ ภาค ตัวหนังก็ค่อยๆ ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนดูหน้าใหม่ที่เพิ่งจะกระโดดมาดูภาคหลังๆ ไปทุกที
ทั้งหมดทั้งมวล กว่าจะมาเป็น Jigsaw ให้ได้ชมกันนี้ เข้าใจว่าหลักๆ คือเหตุผลทางด้านธุรกิจ ที่แต่ไหนแต่ไรมา Saw ได้บุกเบิกความเป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำแต่รายรับสูงมาตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ในเมื่อหนังมันยังขายได้ และใช้ทุนไม่เยอะ เราก็คงอาจได้เห็น Saw งอกภาคใหม่มาอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะเสื่อมความนิยมไปเอง ทว่าในมุมมองผู้เขียนเองรู้สึกว่าปล่อยให้คนจดจำ Saw ในฐานะหนังสยองขวัญที่มีเอกลักษณะและศิลปะการเล่าเรื่องที่ดีงามแบบนี้ หรือจะรีบูตแล้วตีความใหม่ ผุดจักรวาลใหม่ไปเลยก็ได้ ดีกว่าก้มหน้าก้มตาทำภาคต่อไม่รู้จบแล้วใช้พล็อตวนอยู่ในอ่างแบบนี้ไปเรื่อยๆ
คะแนน 5 / 10