[รีวิว] What Happened to Monday
บอกตามตรงเลยว่าในบรรดาหนังที่มีกำหนดฉายในเดือนสิงหาคม มีเรื่องนี้นี่แหละครับที่ชื่อเรื่องดูเตะตาทีมงานที่สุดแล้ว แถมยังเป็นหนังที่พอได้เห็นเทรลเลอร์ก็รู้สึกอยากดูมากที่สุดอีกต่างหาก และก็ไม่บ่อยนักที่บ้านเราจะนำหนังโปรดักชั่นจากยุโรปมาฉายในไทย ส่วนนึงที่ให้ความสนใจหนังยุโรปนั่นก็เพราะว่าพล็อตเรื่องจากทางภูมิภาคนี้จะพยายามนำเสนอความแปลกใหม่ หรือแง่มุมใหม่ๆ ให้ได้เสพกันเรื่อยๆ และ What Happened to Monday จะคู่ควรกับการตีตั๋วไปดูหรือไม่ ลองชมรีวิวจากทีมงาน OS กันก่อนเลยครับ
What Happened to Monday ได้เล่าถึงในโลกอนาคตที่กำลังประสบปัญหาประชากรล้นโลก และปัญหาดังกล่าวได้ถูกยกระดับจนเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องมีมาตรการมาป้องกันและควบคุมเพื่อมิให้ทรัพยากรในโลกถูกใช้จนหมดเร็วเกินไป ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่เว้นแม้แต่ประเทศในทวีปยุโรปเช่นกัน ที่ได้ออกกฎเหล็กมาให้ทุกครัวเรือนจะมีบุตรได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากมีเกินจากนี้ทางหน่วยควบคุมประชากรก็จะนำเด็กที่เกิดทีหลังไปนอนจำศีลในแคปซูลเพื่อรอให้ฟื้นขึ้นมาอีกทีหลังปัญหาประชากรล้นโลกคลี่คลายลง แต่แล้ววันหนึ่ง ครอบครัวเซ็ตต์แมนก็ดันให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดจำนวน 7 คน โดยที่แม่ของเด็กเหล่านี้ได้เสียชีวิตลงหลังคลอด ทำให้ เทอร์เรนซ์ เซ็ตต์แมน ผู้เป็นตา จำต้องลักลอบเลี้ยงเด็กแฝดทั้ง 7 อย่างลับๆ พร้อมกับตั้งชื่อหลานๆ 7 คนตามวันในรอบสัปดาห์ (มันเดย์, ทิวส์เดย์, เวนส์เดย์, เธิร์สเดย์, ฟรายเดย์, แซเทอร์เดย์, ซันเดย์) แล้วจัดแจงให้พวกเธอได้มีโอกาสออกจากบ้านตามวันที่ตรงกับชื่อตนเอง และเมื่อเวลาที่เธอได้ออกมาข้างนอกก็จะมีตัวตนร่วมกัน คือ คาเรน เซ็ตต์แมน ซึ่งเด็กทั้ง 7 ที่มีอุปนิสัยแตกต่างกันก็ต้องมาแชร์บทบาทนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทางการจับได้นั่นเอง
ในขณะที่คาเรน เซ็ตต์แมน คือบุคคลที่พี่น้องฝาแฝดทั้ง 7 ต้องร่วมกันแสดงเพื่อแฝงอยู่ในสังคม ดังนั้นความท้าทายแรกสุดของหนังก็คือการสร้างบุคลิกและอุปนิสัยของสาวแฝด 7 ให้ดูแตกต่างกันไป คนนึงดูเป็นสาวมั่น อีกคนดูเป็นทอมบอย บางคนดูเป็นเนิร์ด ตลอดจนคนที่ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือนก็มี โดยหญิงสาวทั้ง 7 ล้วนแสดงโดยคนๆ เดียวนั่นก็คือ นูมิ ราเพซ (เคยดังจากบท เอลิซาเบธ ชอว์ ในหนัง Prometheus) ความยากลำบากของหนังเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ทีมสร้างจะต้องเกลี่ยบทให้พี่น้องเซ็ตต์แมนแต่ละคนได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาเท่าๆ กันและต้องทำให้คนดูไม่งงว่าใครเป็นใคร ขณะเดียวกัน สาวราเพซเองก็ต้องพยายามตีบทและเข้าถึงความเป็นสาวๆ ทั้ง 7 ให้แตกฉาน ซึ่งเธอทำออกมาได้ดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้พอสมควร เราใช้เวลาเพียงไม่นานก็แยกออกว่าคนที่ปรากฏอยู่หน้าจอในเวลานั้นคือคนไหน
เวลาล่วงเลยมานานถึง 30 ปีที่แฝดเซ็ตต์แมนทั้ง 7 ได้ใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ออกมาสูดอากาศภายนอกได้เพียงสัปดาห์ละ 1 วัน จะหลบเลี่ยงไม่ให้รัฐรู้เห็นได้เลยก็เป็นไปได้ยาก หลังพ้นเหตุการณ์ที่มันเดย์ พี่สาวคนโตหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ฉากแอ็กชั่นและการไล่ล่าที่ลุ้นระทึกเลยถูกลำเลียงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนี้ทำมาได้กระชับและออกแบบบทบู๊ในแต่ละช่วงให้ผู้ชมต้องเอาใจช่วยน้องสาวอีก 6 คนที่เหลือให้หนีรอดให้ได้ โดยจุดที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือการพึ่งพาเทคโนโลยีในโลกอนาคตของสาวๆ ที่แต่ละอย่างนอกจากจะดูล้ำยุคแล้วก็ยังมีความสมเหตุสมผลในตัวมันเอง อาทิ ระบบสแกนลายนิ้วมือบนด้ามปืน ระบบติดตามตัวผ่านอุปกรณ์คล้ายนาฬิกาข้อมือ เป็นต้น ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นอีกกลยุทธ์ที่หนังสามารถหยิบมาใช้เป็นมุกหักมุมในบางจุดที่ต้องลุ้นตัวโก่งได้
ที่ต้องชมอีกอย่างก็คืองานวิชวลเอฟเฟ็กต์ครับ เทคนิคทางด้านภาพที่เห็นนูมิ ราเพซ แสดงเป็นสาว 7 คน ที่มีคาแร็กเตอร์ต่างกัน บุคลิกไม่เหมือนกัน แต่งตัวก็คนละสไตล์มาอยู่ในเฟรมเดียวกันหลายๆ ช็อต แถมยังต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันตามประสาพี่น้องด้วย ทีมงานช่างทำออกมาได้เนียนตาเหลือเกิน จนชักสงสัยว่านางตีบท 7 สาวซะแตกกระจุยขนาดนี้จะได้ค่าตัวคูณ 7 เลยรึเปล่า (ฮา) พอแอ็กติ้งของสาวราเพซออกมาดี ผนวกกับงานเอฟเฟ็กต์ที่มีคุณภาพ งานเลยออกมาดีงามพระรามแปดอย่างที่เห็น
น่าเสียดายที่พอเข้าสู่ครึ่งหลังของเรื่อง ตัวหนังเลือกที่จะคลายปมทีละนิดและพยายามให้ดูมีชั้นเชิง แต่กระบวนการที่ว่าดันทำเร็วและรวบรัดไปหน่อย ทำให้พอจะเดาตอนจบได้แต่เนิ่นๆ แถมพอถึงบทสรุปของหนัง ดันพลาดที่จะขยี้ปมของสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ที่จะลืมตาดูโลกให้สุด มันเลยทำให้หนังดูแล้ว "ไม่อิ่ม" เท่าที่ควร ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายไม่แพ้กันก็คือ ในโลกอนาคตที่แต่ละบ้านล้วนต้องมีลูกโทนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากภาครัฐ ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ผู้กำกับน่าจะพอหยิบจับมาเล่นเป็นประเด็นแยกย่อยให้เก็บมาเป็นข้อคิดอีกได้ ตรงนี้เลยเข้าใจว่าทางทีมสร้างคงอยากโฟกัสไปแต่ชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ของเด็กแฝดทั้ง 7 อย่างเดียว เพียงแต่ถ้ามีการลงลึกไปที่สภาพแวดล้อมในสังคมมากกว่าที่เห็นผู้คนเดินพลุกพล่าน จะทำให้หนังดูมีมิติกว่าที่เป็นอยู่มาก
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของหนังทำให้รู้สึกประทับใจตรงที่ตัวหนังพยายามสื่อให้เราตระหนักถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ สิทธิ์ในการยอมรับความแตกต่าง สิทธิ์ต่างๆ ในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และผลกระทบจากการกระทำของคนๆ นึงที่มีต่อคนอื่นๆ ในสังคมนั้นๆ แม้ว่าความหวังที่เราจะได้เห็นสิทธิเสรีภาพดังกล่าวในประเทศแถวๆ นี้จะดูริบหรี่ก็ตามที (และก็ไม่น่าจะได้เห็นสิทธิเสรีภาพนั้นอีกนานด้วย) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความแปลกใหม่ของพล็อตลักษณะนี้และการดำเนินเรื่องก็ควรค่าแก่การลองเข้าไปชมแล้วละครับ
จุดเด่น
- 7 สาวฝาแฝดผ่านการเกลี่ยบทให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ผู้ชมสามารถจดจำได้ง่าย อีกทั้งยังมีความสมดุลในแง่ของบุคลิกและลักษณะนิสัย
- บทภาพยนตร์มีความแปลกใหม่ ไม่ค่อยจำเจ หาดูได้ไม่บ่อยนักท่ามกลางยุคที่มีแต่หนังแนวตลาดให้เห็นกันเกลื่อน
- ฝีไม้ลายมือของ นูมิ ราเพซ เอาหนังอยู่ทั้งเรื่อง เธอสามารถตีบทของพี่น้องทั้ง 7 ที่มีตัวตนและอุปนิสัยไม่เหมือนกันได้แตก
- ตัวหนังมีการลำดับเรื่องราวให้น่าติดตาม ถือว่าค่อนข้างน่าทึ่งที่สามารถดำเนินเรื่องราวพร้อมกับปล่อยให้ผู้ชมเรียนรู้ตัวละคร 7 คน 7 บุคลิกที่แสดงโดยคนๆ เดียวแบบง่ายๆ ได้ดีมาก
จุดด้อย
- เนื้อเรื่องเดาทางได้ค่อนข้างง่าย และจุดเริ่มคลายปมมาเร็วไปหน่อย มิหนำซ้ำตอนจบนำเสนอออกมาได้ไม่ลงตัวนัก เหมือนยังขยี้อารมณ์มาได้ไม่สุด
- โลกอนาคตภายในหนังค่อนข้างแบน ไม่มีมิติ หนังพยายามโฟกัสแต่ประเด็น 7 สาวหนีเอาตัวรอดจากทางการและการดิ้นรนเพื่อสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่สภาพแวดล้อมต่างๆ ภายในเมืองยังสามารถใส่กิมมิคอะไรลงไปได้มากกว่านี้
สรุป
ถึงแม้ว่าหนังจะยังมีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดอยู่บ้าง แต่ความสดใหม่และการลำดับเรื่องของ What Happened to Monday ถือว่าทำมาได้ดีทีเดียว จะแอบเสียดายก็ตรงที่หนังควรจะขยี้ช่วงท้ายเรื่องให้หนักหน่อย พอออกจากโรงมาเลยรู้สึกว่ามันยังไม่สุด ทว่ารวมๆ แล้วยังเป็นหนังที่ควรไปดูครับ จุดลุ้นระทึกก็มีจังหวะจะโคน ดูแล้วลุ้นตามได้เป็นพักๆ
คะแนน 8 / 10