หากใครได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับนักสร้างเกมขั้นเทพอย่าง ฮิเดโอะ โคจิม่า หรือเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ให้กำเนิดเกมตระกูล Metal Gear อันโด่งดัง ก็คงจะพอทราบมาบ้างว่าเจ้าตัวนั้นมีความใฝ่ฝันที่อยากจะสร้างภาพยนตร์มานานแล้ว และพอได้มีโอกาสมาทำเกมก็เลยนำแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ที่ตนเองชอบมาประยุกต์เข้ากับในเกม เลยทำให้ผลงานของพี่แกแต่ละเกมจึงมีกลิ่นอายของความเป็นภาพยนตร์อยู่เต็มไปหมด และในบทความรอบนี้ ทางทีมงาน OS ก็ได้รวบรวมภาพยนตร์ในดวงใจ 5 เรื่องของเทพโคจิม่ามาให้ได้ชมกันครับ
------------------------------------
1. Blade Runner
เข้าฉาย: 25 มิถุนายน 1982
นักแสดงนำ: แฮร์ริสัน ฟอร์ด, ฌอน ยัง
กำกับภาพยนตร์: ริดลีย์ สก็อตต์
หนังแนวนีโอนัวร์ไซไฟ ที่ ณ ตอนนั้น ปู่แฮร์ริสัน ฟอร์ดยังหน้าละอ่อน แต่กำลังมาแรงหลังจากที่มีผลงานแสดงใน Star Wars: A New Hope, Star Wars: The Empire Strikes Back และ Raider of the Lost Ark พอดี โดยโคจิม่าได้ชื่นชอบหนังเรื่องนี้เพราะความที่ธีมของหนังสามารถสร้างโลกที่มีเอกลักษณ์ของมันเองได้ อีกทั้งวัฒนธรรม อารยธรรมต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังก็ทำออกมาได้ดี หน้าตาของหนังอาจจะดูเหมือนหนังแอ็กชั่นไซไฟทั่วไป แต่ลึกๆ แล้วมันเป็นหนังที่สอดแทรกปรัชญาเอาไว้ได้อย่างลุ่มลึก จะเรียกว่าเป็นศิลปะชั้นเยี่ยมชิ้นนึงของวงการภาพยนตร์ก็ไม่ผิดนัก น่าเสียดายที่ในช่วงที่หนังฉายกลับได้รับเสียงวิจารณ์ไปในทางลบ และรายรับก็ดูไม่จืด เนื่องมาจากเนื้อหาของหนังมันล้ำสมัยเกินกว่าผู้คนยุคนั้นจะเข้าถึง กระทั่งพอมาทำเป็นแผ่นดีวีดีหรือบลูเรย์ในยุคหลังๆ กระแสความนิยมเลยกลับมาบูมได้อย่างปาฏิหาริย์ ซึ่งเรื่องนี้เองที่โคจิม่าได้ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเกม Snatcher ครับ
------------------------------------
2. Taxi Driver
เข้าฉาย: 8 กุมภาพันธ์ 1976
นักแสดงนำ: โรเบิร์ต เดอ นีโร, โจดี้ ฟอสเตอร์
กำกับภาพยนตร์: มาร์ติน สกอร์เซซี
นี่ก็เป็นหนังนีโอนัวร์อีกเรื่องที่เล่าถึง ทราวิส บิคเคิล อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ผันตัวเองมาเป็นโชเฟอร์รถแท็กซี่หลังปลดประจำการ แต่เจ้าตัวดันมีอาการของภาวะความเครียดจากโรคซึมเศร้าและอยู่ตัวคนเดียวในกรุงนิวยอร์ค โดยโคจิม่าได้ถูกใจกับหนังเรื่องนี้เพราะว่าตัวเขาเองก็รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ตาม และความเปล่าเปลี่ยวของพระเอกในเรื่องก็ดันเป็นแรงขับสำคัญของหนังเรื่องนี้ซะด้วย โคจิม่าเขารู้สึกว่านี่มันเป็นคำสาปของคนทำงานเชิงสร้างสรรค์ ที่ต้องสร้างผลงานออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกเหงาน้อยลง และการได้รู้ว่าคนเสพผลงานเขาเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อในเนื้องานก็ช่วยคลายความเหงาได้อย่างดีเลย
------------------------------------
3. Mad Max 2
เข้าฉาย: 24 ธันวาคม 1981
นักแสดงนำ: เมล กิ๊บสัน
กำกับภาพยนตร์: จอร์จ มิลเลอร์
เพื่อนๆ ในยุคนี้คงรู้จัก Mad Max จากภาค Fury Road ที่เพิ่งฉายไปในปี 2015 กันเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว Mad Max เคยถูกสร้างในยุคราวๆ 30 กว่าปีก่อน โดยมีปู่เมล กิ๊บสัน เป็นพระเอกที่สร้างชื่อมากับซีรีส์นี้นะเออ ซึ่งโคจิม่าได้ชื่นชอบการดีไซน์ตัวละครแต่ละคนให้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แถมผู้ชมยังสามารถเข้าใจอุปนิสัยและปูมหลังของตัวละครได้โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเล่าผ่านคำพูดโดยตรงด้วย ลำพังแค่เสื้อผ้าหน้าผมที่ตัวละครในเรื่องใส่ก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องมาเกือบทั้งหมด เสน่ห์ของการเล่าเรื่องในลักษณะนี้นี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้กับโคจิม่าจนถึงทุกวันนี้ครับ (โคจิม่าเคยมีให้สัมภาษณ์ในช่วงที่กำลังพัฒนา Metal Gear Solid V ด้วยว่าเขาทำอย่างไรในการทำให้สเนคสามารถแสดงอารมณ์ส่งผ่านให้ตัวละครอื่นรอบตัวรับรู้ได้)
------------------------------------
4. 2001: A Space Odyssey
เข้าฉาย: 3 เมษายน 1968
นักแสดงนำ: ไคเออร์ ดูลลี, แกรี่ ล็อควู้ด
กำกับภาพยนตร์: สแตนลีย์ คูบริค
แม้ว่า สแตนลีย์ คูบริค จะล่วงลับไปแล้ว แต่ผลงานการกำกับของเขาก็ยังเป็นเครื่องหมายการค้าให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาแนวทางการทำหนังที่ไม่เหมือนใครของเขาได้ และหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่มีอิทธิพลกับโคจิม่ามาก ด้วยความที่โคจิม่าเองก็เคยมีความฝันอยากจะเป็นนักบินอวกาศด้วย ซึ่ง 2001: A Space Odyssey ก็ทำให้โคจิม่ารู้สึกว่าเขาอยากจะท่องไปบนอวกาศสักครั้งเลยทีเดียว จนเจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากชมว่าคูบริคเป็นผู้กำกับที่นิยมความสมบูรณ์แบบ เปรียบเสมือนเป็นไอดอลของโคจิม่า อีกทั้งชื่อ "เดวิด" ของสเนคและ "ฮาล" ของโอตาคอน ก็เป็นการนำมาจากชื่อตัวละครและชื่อคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏภายในหนังเรื่องนี้เช่นกัน
------------------------------------
5. High and Low
เข้าฉาย: 1 มีนาคม 1963
นักแสดงนำ: โทชิโระ มิฟุเนะ, เคียวโกะ คากาวะ
กำกับภาพยนตร์: อากิระ คุโรซาว่า
ชื่อของ อากิระ คุโรซาว่า ในมุมมองคนญี่ปุ่น รวมถึงโคจิม่าเอง เขาคือสุดยอดผู้กำกับที่บุกเบิกเทคโนโลยีการถ่ายทำยุคสมัยใหม่ให้แก่วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น โดยเทคนิคการใช้กล้องและเลนส์ที่แตกต่างกันให้ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นความสามารถขั้นสูงในหมู่ผู้กำกับชั้นนำของโลกที่หาตัวจับยาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้จุดกระแสครั้งใหญ่ให้เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมชาวญี่ปุ่นและมองเรื่องประเด็นการลักพาตัวในมุมมองที่แตกต่างออกไป ซึ่งโคจิม่าได้แง่คิดจากหนังเรื่องนี้ว่า งานศิลปะอย่างภาพยนตร์ก็สามารถสร้างผลกระทบกับคนหมู่มากได้ ดังนั้นเกมที่ตัวเขาสร้างขึ้นมาเองก็ต้องสามารถสร้างปรากฏการณ์อะไรสักอย่างให้กับวงการเกมได้เหมือนกัน
------------------------------------
เครดิต: Metalgearinformer / IGN