ย้อนรอยเนื้อเรื่อง Transformers ก่อนดูภาค The Last Knight

**บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาภาพยนตร์ Transformers ทั้ง 4 ภาคแรกครับ**

ในที่สุดก็วันฉายของภาพยนตร์ Transformers: The Last Knight ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายที่ Michael Bay จะกำกับเองก็มาถึงในวันนี้แล้วครับ และเมื่อเรียงตามไทม์ไลน์ของการเข้าฉายแล้ว ภาค The Last Knight ก็ถือเป็นภาคที่ 5 พอดี โดยในโอกาสนี้ทางทีมงาน OS ก็ขอนำพาเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยดูภาพยนตร์ซีรีส์นี้มาก่อน หรืออาจจะเคยดูแต่ลืมเนื้อเรื่องไปหมดแล้ว มารื้อฟื้นความจำกันสักหน่อยว่าเนื้อเรื่องคร่าวๆ ของแต่ละภาคเป็นอย่างไรบ้าง ว่าแล้วก็มาชมกันเลย!

——————————————————

1. Transformers
เข้าฉายครั้งแรก: 12 มิถุนายน 2550
ทุนสร้าง: 150 ล้านเหรียญ
รายรับรวมทั่วโลก: 709.7 ล้านเหรียญ

ในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อน บนดาวเคราะห์ ไซเบอร์ทรอน ได้เกิดสงครามระหว่างหุ่นทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายแรกคือ ออโต้บอตส์ ที่นำโดย ออพติมัส ไพรม์ และอีกฝ่ายคือ ดีเซปติคอนส์ นำโดย เมกะทรอน และจากสงครามครั้งล่าสุด ออพติมัสก็ได้โยนวัตถุลึกลับที่มีชื่อว่า ออลสปาร์ค ออกไปสู่อวกาศ ทว่าเมกะทรอนได้พุ่งตามไปคว้าไว้ แต่ร่างก็ไปกระแทกกับโลกมนุษย์ตรงบริเวณขั้วโลกเหนือจนแข็งแน่นิ่งมานับแต่นั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1895 ก็ได้มีนักสำรวจนามว่า อาร์คิบาล วิทวิคกี้ ได้ไปพบเข้า แถมเจ้าตัวยังเผลอไปทำให้ระบบนำร่องของตัวเมกะทรอนเกิดทำงานขึ้นมา จนระบบนำร่องที่ว่านี้ได้ไปสแกนลายแทงของออลสปาร์คลงบนแว่นของอาร์คิบาลเข้า กระทั่งเวลาผ่านมาจนยุคปัจจุบัน แว่นของอาร์คิบาลก็เป็นมรดกตกทอดมาถึง แซม วิทวิคกี้ เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะได้ออกรถคันแรกของตัวเอง เป็นรถเชฟโรเล็ตต์สีเหลืองเก่าๆ คันหนึ่ง

เหตุการณ์ตัดมาในประเทศกาตาร์ ฐานทัพสหรัฐอเมริกาได้ถูกลอบโจมตีโดยหุ่นแบล็คเอาท์ที่ต้องการจะมาสืบหาข้อมูลของเมกะทรอนและออลสปาร์ค จนผู้กองวิลเลียม เลนน็อกซ์ หัวหน้าหน่วยจู่โจมของฐานทัพต้องพากำลังส่วนหนึ่งหลบหนีข้ามทะเลทรายมา แต่ก็ถูกหุ่นแบล็คเอาท์ส่งโดรนที่ชื่อว่า สกอร์โปน็อค มาขัดขวางอีก อย่างไรก็ตาม ทีมของเลนน็อกซ์ก็สามารถปราบสกอร์โปน็อคลงได้ และนำซากของมันไปตรวจสอบ ซึ่ง ณ เพนตากอนนี่เอง ได้มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพบว่ามีหุ่นดีเซปติคอนนาม เฟรนซี่ กำลังทำการแฮ็คเข้าไปในฐานข้อมูลจากบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ทางรัฐบาลจึงจำเป็นต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉิน แต่ทว่าเฟรนซี่ก็ได้ข้อมูลของแซมและแว่นของอาร์คิบาลไปเสียแล้ว มันจึงออกตามล่าตัวเด็กหนุ่มทันทีพร้อมกับหุ่นนามว่า บาร์ริเคด ที่แฝงตัวอยู่ในคราบรถตำรวจ

เมื่อโดนไล่ล่าโดยรถตำรวจที่แปลงร่างเป็นหุ่นขนาดยักษ์ได้ แซมและมิเกลล่า สาวร่วมโรงเรียนที่เขาตกหลุมรักจึงจำต้องหนีเอาชีวิตรอดกัน และในระหว่างที่กำลังวิ่งหนีกันอยู่นั้น ทั้งสองก็ได้รับการช่วยเหลือโดยรถของแซมที่สามารถกลายร่างเป็นหุ่นออโต้บอตส์นามว่าบัมเบิ้ลบี แต่ก็ปัญหาอยู่ที่ว่าบัมเบิ้ลบีนั้นไม่สามารถพูดได้ จึงต้องสื่อสารโดยใช้วิทยุภายในรถแทน ต่อจากนั้น ทั้งสองก็ได้พบกับออโต้บอตส์ตัวอื่นๆ ที่บัมเบิ้ลบีส่งสัญญาณเรียกมา ซึ่งประกอบไปด้วยออพติมัส, แจซ, ไอรอนไฮด์ และแร็ทชิท

ออพติมัสอธิบายให้แซมฟังว่าถ้าหากเมกะทรอนได้ออลสปาร์คไป เขาจะลงมือเปลี่ยนเครื่องจักรทั้งหมดบนโลกให้กลายเป็นกองทัพเหล็กของตน จากนั้นจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซาก เมื่อได้ยินดังนั้น แซม มิเกลล่า และเหล่าออโต้บอตส์ทั้งหลายจึงรีบมุ่งหน้าไปที่บ้านของแซมเพื่อจะไปเก็บแว่นของอาร์คิบาลกลับมา แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อแซม มิเกลล่า พร้อมด้วยบัมเบิ้ลบี กลับถูกจับกุมตัวเอาไว้โดยเจ้าหน้าที่จากองค์กรเซ็กเตอร์ 7 หน่วยทหารลับสุดยอดของฝ่ายรัฐบาล และถูกพาตัวไปยังฐานบัญชาการลับ ในขณะที่ออพติมัสเป็นฝ่ายเก็บแว่นไว้กับตนเอง

แซมและมิเกลล่าถูกพาตัวมาที่เขื่อนฮูเวอร์ ซึ่ง ณ ที่แห่งนั้น พวกเขาได้พบกับร่างที่ถูกแช่แข็งของเมกะทรอนพร้อมกับออลสปาร์คที่ฝ่ายรัฐบาลนำมาเก็บไว้อย่างลับๆ ทว่าทันใดนั้นเอง เฟรนซี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าของมิเกลล่ามาโดยตลอดก็ได้ฉวยโอกาสเรียกหุ่นดิเซปติคอนส์ตัวอื่นๆ บุกเข้ามาจู่โจมพื้นที่เพื่อปลดปล่อยตัวเมกะทรอนทันที ด้วยเหตุนี้บัมเบิ้ลบีเลยถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อปกป้องออลสปาร์ค โดยทำการย่อส่วนมันให้อยู่ในขนาดที่พอจะเคลื่อนย้ายไปด้วยได้ แต่ทางฝั่งดิเซปติคอนส์เองก็สามารถปลดปล่อยเมกะตรอนให้เป็นอิสระได้ด้วยเช่นกัน

การต่อสู้อันดุเดือดระหว่างออโต้บอตส์และดิเซปติคอนส์อุบัติขึ้น ณ ใจกลางเมืองนิวยอร์ค ผลของการต่อสู้ในครั้งนี้คือดิเซปติคอนส์ส่วนใหญ่ถูกจัดการลงได้ ทว่าแจซก็พลาดท่าถูกเมกะทรอนสังหารลงได้เช่นกัน หลังจากนั้นออพติมัสกับเมกะทรอนก็ประมือกันได้ครู่ใหญ่ แต่ดูท่าทางว่าเมกะตรอนจะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ออพติมัสจึงบอกกับแซมว่าให้นำออลสปาร์คใส่เข้ามาในหน้าอกของตนเพื่อที่จะทำลายมันไปพร้อมๆ กับตนเองและเมกะตรอน ทว่าแซมกลับใส่มันเข้าไปในอกของเมกะทรอนแทน ทำให้เมกะทรอนกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด ส่วนหุ่นยนต์ฝ่ายดิเซปติคอนส์ที่เหลือรอดมีอยู่เพียงสองตัวเท่านั้น ซึ่งก็คือสตาร์สกรีมที่หนีรอดไปได้ ในขณะที่บาร์ริเคดนั้นยังคงอยู่บนโลกมนุษย์

เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบสิ้นลง ออพติมัสจึงดึงเศษเสี้ยวของออลสปาร์คออกมาจากร่างของเมกะทรอน และปล่อยให้รัฐบาลนำร่างของดิเซปติคอนส์ทั้งหมดรวมถึงเมกะตรอนไปทิ้งลงสู่ก้นทะเล ทางด้านหน่วยงานเซ็กเตอร์ 7 ก็ถูกปิดตัวลง และในฉากสุดท้ายนั้น แซมก็ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์อันสวยงามกับมิเกลล่า หญิงสาวที่เขาหลงรัก ในขณะที่เหล่าออโต้บอตส์ก็ยังคงแฝงตัวอยู่บนโลกอย่างสงบสุข นอกจากนี้ ออพติมัสยังได้ส่งข้อความเชิญออโต้บอตส์ตัวอื่นๆ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ให้ลงมาอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ด้วย

——————————————————

2. Transformers: Revenge of the Fallen
เข้าฉายครั้งแรก: 8 มิถุนายน 2552
ทุนสร้าง: 200 ล้านเหรียญ
รายรับรวมทั่วโลก: 836.3 ล้านเหรียญ

ย้อนกลับไปเมื่อ 17,000 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีหุ่นระดับไพรม์ 7 ตัวทำการตระเวนไปทั่วกาแล็กซีเพื่อสร้างวัตถุชิ้นหนึ่งนามว่า ซัน ฮาร์เวสเตอร์ ที่มีความสามารถในการดูดรวมเครื่องจักรได้ ซึ่งเหล่าไพรม์ทั้งหมดมีกฎร่วมกันว่าจะไม่นำวัตถุนี้ไปทำลายดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่ก็ดันมีไพรม์ตัวหนึ่งนามว่า เมกะโทรนัส หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เดอะฟอลเลน ได้แหกกฎนี้ด้วยการไปติดตั้งซันฮาร์เวสเตอร์บนโลกมนุษย์ ก็เลยโดนไพรม์ตัวที่เหลือจัดการจองจำก่อนที่ระบบสุริยะจะถูกเดอะฟอลเลนทำลายด้วยพลังของวัตถุที่ชื่อว่าเมทริกซ์ จากนั้นเหล่าไพรม์ก็เสียสละตัวเองโดยนำเมทริกซ์ไปซ่อนในที่ที่ไม่มีใครรู้จนยุคปัจจุบัน

เหตุการณ์ผ่านมา 2 ปีให้หลัง นับตั้งแต่แซมได้ช่วยจักรวาลเอาไว้จากเงื้อมมือของหุ่นฝ่ายเมกะทรอน ทางเดอะฟอลเลน ผู้ก่อตั้งดีเซปติคอนส์และยังเป็นอาจารย์ของเมกะทรอน ก็มีความต้องการที่จะคืนชีพให้เมกะทรอน เลยสั่งให้ลูกน้องที่ชื่อว่า แรฟเวจ ไปกู้ซากของเมกะทรอนจากใต้ท้องทะเล และเมื่อเมกะทรอนฟื้นขึ้นมาได้ ศึกระหว่างออโต้บอตส์และดีเซปติคอนส์เลยปะทุอีกครั้ง โดยหลังจากที่การต่อสู้กันในภาคแรกจบลง หน่วยงานเซ็กเตอร์ 7 ก็โดนยุบไป เจ้าหน้าที่ซิมมอนส์ที่ดูแลเซ็กเตอร์ 7 ก็โดนปลดออก แล้วแทนที่ด้วยหน่วยงาน เนสท์ ที่นำโดยเลนน็อกซ์ เข้ามาทำงานร่วมกับพวกหุ่นออโต้บอตส์ในการปกป้องโลก

แซม มิเกลล่า ลีโอ ได้ร่วมมือกับ ซิมมอนส์ อดีตเจ้าหน้าที่จากเซ็กเตอร์ 7 ซึ่งซิมมอนส์เผยว่าเหล่าหุ่นทรานส์ฟอร์เมอร์ได้เคยมาเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว และก็มีหุ่นที่เรียกว่า ซีคเกอร์ กบดานอยู่ในโลกมาอย่างยาวนาน พอพวกแซมตามแกะรอยไปก็พบว่าซีคเกอร์ตัวนั้นมีชื่อว่า เจ็ทไฟร์เออร์ โดยเจ็ทไฟร์เออร์ได้วาร์ปพวกแซมมายังอียิปต์เพื่อให้ช่วยตามหาเมทริกซ์ เพราะเมทริกซ์สามารถชุบชีวิตออพติมัสได้ ต่อมาดีเซปติคอนส์ก็บุกโจมตีอีกครั้ง ซึ่งซิมมอนส์กับหน่วยเนสท์ก็ช่วยกันยันทัพหุ่นอธรรมไว้ได้ช่วงหนึ่ง ทว่าระหว่างนั้น เมกะทรอนก็ยิงใส่แซมจนปางตาย แต่ก่อนที่แซมจะสิ้นใจ เขาก็ได้เห็นภาพนิมิตของเหล่าไพรม์ที่ส่งสาส์นมาว่าเขาเป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครองเมทริกซ์แล้ว พร้อมทั้งปลุกแซมกลับมาและมอบเมทริกซ์ให้และนำไปชุบชีวิตออพติมัสได้ในที่สุด

เดอะฟอลเลนได้วาร์ปกลับมาขโมยเมทริกซ์ไปจากออพติมัสได้ แล้วนำมันไปใส่ในพีระมิดและเปิดระบบของซันฮาร์เวสเตอร์ได้สำเร็จ ขณะเดียวกัน เจ็ทไฟร์เออร์ ก็ได้สละชีวิตตัวเองเพื่อให้ออพติมัสได้ชิ้นส่วนในตัวไป ทำให้พลังออพติมัสแข็งแกร่งขึ้นและสามารถบินได้ พร้อมทั้งตามไปสังหารเดอะฟอลเลน และปราบเมกะทรอน อีกทั้งทำลายซันฮาร์เวสเตอร์ลงได้ เมกะทรอนเลยจำต้องลากสังขารหนีไปพร้อมกับสตาร์สกรีม ในที่สุดชัยชนะก็เป็นของฝ่ายออโต้บอตส์และมนุษย์โลกอีกครั้ง

——————————————————

3. Transformers: Dark of the Moon
เข้าฉายครั้งแรก: 23 มิถุนายน 2554
ทุนสร้าง: 195 ล้านเหรียญ
รายรับรวมทั่วโลก: 1,124 ล้านเหรียญ

ในปี ค.ศ. 1961 ยานอวกาศขนาดใหญ่ของฝ่ายออโต้บอตส์ที่มีชื่อว่า อาร์ค ได้ขนเอาสิ่งประดิษฐ์บางอย่างหลบหนีพวกดีเซปติคอนส์ แต่ยานลำดังกล่าวได้เกิดอุบัติเหตุพุ่งชนดวงจันทร์เข้า ทำให้ดาวเทียมขององค์การนาซ่าตรวจจับคลื่นสัญญาณความผิดปกติได้ ด้วยเหตุนี้ประธานาธิบดีในสมัยนั้นคือ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เลยมีคำสั่งให้ส่งหน่วยพิเศษไปสำรวจบนดวงจันทร์ จนในอีก 8 ปีต่อมา ทีมนักบินอวกาศจากยานอพอลโล 11 ก็สามารถบินไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ

ตัดมาที่ยุคปัจจุบัน ออโต้บอตส์ได้ร่วมมือกับทางกองทัพสหรัฐฯ เพื่อช่วยกันป้องกันการรุกรานของเหล่าดีเซปติคอนส์เรื่อยมา และแล้ววันหนึ่ง ออพติมัสก็ได้พบกับชิ้นส่วนของอาร์ค จึงทราบเพิ่มเติมว่ามีหุ่นจากฝั่งดีเซปติคอนส์เหลือรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์พุ่งชนดวงจันทร์เมื่อหลายสิบปีก่อน พร้อมกับพบ เซนติเนล ไพรม์ หุ่นบรรพบุรุษของออพติมัสอยู่ในสภาพจำศีล รวมถึงกลุ่มแท่งพลังงานที่ถูกสร้างไว้สำหรับเคลื่อนย้ายวัตถุระหว่างโลกกับอวกาศ ซึ่งในโอกาสนี้ ออพติมัสก็ได้ดึงเอาพลังของเมทริกซ์มาคืนชีพให้กับเซนติเนลด้วย

ทางฟากของแซมก็ได้ทราบข่าวคราวจากซิมมอนส์ อดีตเจ้าหน้าที่องค์กรเซ็กเตอร์ 7 ว่าในอดีตดีเซปติคอนส์เคยเป็นผู้ครอบครองยานอาร์คมาก่อน แต่จู่ๆ ก็สละยานแล้วทิ้งเซนติเนลกับแท่งพลังงานไว้ เพื่อล่อให้กลุ่มออโต้บอตส์ไปติดกับ นั่นก็เพราะว่าเซนติเนลมีความสามารถในการทำให้แท่งพลังงานทำงานได้ ซึ่งดีเซปติคอนส์ต้องการรอจังหวะที่จะอาศัยแท่งพลังงานในการเคลื่อนย้ายกองทัพของตนมาบุกโลกนั่นเอง พอแซมทราบเรื่องปุ๊บก็เลยรุดหน้าไปหาเซนติเนล แต่เซนติเนลนอกจากจะไม่ให้ความร่วมมือแล้ว ยังกลับหักหลังเหล่าออโต้บอตส์แล้วไปเข้าร่วมกับเมกะทรอนซะอย่างนั้น สาเหตุก็เป็นเพราะว่าเซนติเนลดันไปตกลงอย่างลับๆ กับเมกะทรอนไว้ว่าถ้ายอมร่วมมือด้วย ดาวไซเบอร์ทรอนของพวกทรานส์ฟอร์เมอร์สก็จะอยู่รอดปลอดภัย

เซนติเนลจัดการใช้แท่งพลังงานในการเคลื่อนย้ายหุ่นดีเซปติคอนส์มายังโลกมนุษย์ ซ้ำร้ายกว่านั้น คาร์ลี่ แฟนใหม่ของแซมก็ถูก ดีแลน หัวหน้างานของแซมในบริษัทจับตัวไป เนื่องจากดีแลนเป็นสายให้กับฝ่ายดีเซปติคอนส์มาระยะนึงแล้ว ไม่นานนัก เหล่าออโต้บอตส์ก็ถูกบีบจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เนรเทศตัวเองออกไปอยู่ในอวกาศเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสู้กันบนโลก แต่ออโต้บอตส์ซ้อนแผนด้วยการเนียนทำทีเหมือนจะขึ้นยานออกนอกโลกไป แต่แอบหลบหนีไปซ่อนตัวเสียก่อนเพื่อให้เซนติเนลกับเมกะทรอนตายใจว่าออโต้บอตส์ไม่อยู่แล้ว สุดท้ายออโต้บอตส์ก็ออกมาช่วยกองทัพมนุษย์ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำต่อดีเซปติคอนส์ได้ทันท่วงที ส่วนคาร์ลีที่ถูกช่วยมาได้ก็ใช้กลอุบายทำให้เซนติเนลกับเมกะทรอนบาดหมางกันเอง จนเมกะทรอนบุกมายิงเซนติเนลจนปางตาย ออพติมัสได้เลยจังหวะจัดการทั้งเซนติเนลและเมกะทรอนตายเรียบ โลกจึงกลับมาสงบสุขอีกครั้ง

——————————————————

4. Transformers: Age of Extinction
เข้าฉายครั้งแรก: 19 มิถุนายน 2557
ทุนสร้าง: 210 ล้านเหรียญ
รายรับรวมทั่วโลก: 1,104 ล้านเหรียญ

65 ล้านปีก่อน เหล่าผู้มาเยือนจากนอกโลกที่เรียกกันว่า ครีเอเตอร์ ได้ใช้อุปกรณ์อย่างนึงที่เรียกว่า ซี๊ด ในการปรับสภาพโลกให้มีโลหะที่ชื่อว่า ทรานส์ฟอร์เมียม ห่อหุ้มมานานนับล้านปี จนมีนักธรณีวิทยานามว่า ดาร์ซี เทอร์เรล จากหน่วยงาน KSI ไปสกัดเอาทรานส์ฟอร์เมียมออกมาได้ ซึ่งโลหะตัวนี้ได้ถูกนำไปสร้างโดรนโดยอิงมาจากบรรดาหุ่นชาวไซเบอร์ทรอน ที่ปัจจุบันได้เรียกหุ่นเหล่านั้นกันว่า ทรานส์ฟอร์เมอร์ส

5 ปีหลังจากเหตุการณ์สู้รบกลางเมืองชิคาโก้ (ภาค 3) ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เริ่มหวาดวิตกและมองเหล่าหุ่นทรานส์ฟอร์เมอร์สเป็นอันตรายต่อมวลมนุษย์ ส่วนทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลนามว่า แฮโรลด์ แอตทินเกอร์ ก็เชื่อว่าพวกหุ่นจากนอกโลกควรถูกกำจัดออกไปให้หมดไม่ว่าจะอยู่ฝั่งออโต้บอตส์หรือดีเซปติคอนส์ก็ตาม ทว่าเบื้องหลังก็คือทางแอตทินเกอร์ได้รับข้อเสนอจากล็อคดาวน์ หุ่นนักล่าเงินรางวัลที่ทำงานให้กับครีเอเตอร์ โดยล็อคดาวน์ให้คำมั่นกับแอตทินเกอร์ว่าจะมอบซี๊ดให้ ถ้าหากว่าหน่วยของเขาสามารถจับตัวออพติมัสมาได้ ซึ่งล็อคดาวน์ได้ทราบเบาะแสครั้งสุดท้ายว่าออพติมัสหนีหายเข้าไปในเมืองเม็กซิโกซิตี้

ออพติมัสที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บในเมืองเม็กซิโกซิตี้ได้ปลอมตัวเป็นรถบรรทุกหลบหนีเข้ามา จน เคด เยเกอร์ นักประดิษฐ์ถังแตกจากเท็กซัสได้มาพบเข้า ต่อมา เทสซ่า ลูกสาวของเคด พร้อมกับ ลูคัส ที่เป็นหุ้นส่วนกัน ก็แนะนำให้เคดส่งตัวออพติมัสให้กับทางการสหรัฐฯ ทว่าเคดตัดสินใจที่จะซ่อมแซมร่างออพติมัสแทน โดยหวังที่จะได้ศึกษาเทคโนโลยีของเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์ส ในทางกลับกัน ลูคัสได้แอบติดต่อให้หน่วยของแอตทินเกอร์เข้ามาบุกฟาร์มของเคด แต่ออพติมัสและ เชน แฟนหนุ่มของเทสซ่าได้เข้ามาช่วยไว้ทันเวลา ระหว่างนี้ ออพติมัสก็ได้ติดต่อเรียกออโต้บอตส์ที่ยังรอดอยู่ให้มาช่วยอีกแรง ซึ่งเคดก็ได้ทราบความจริงอีกว่าหน่วยงาน KSI เป็นตัวการในการบุกโจมตีพวกออโต้บอตส์นั่นเอง

เคดลักลอบเข้าไปในกองบัญชาการของ KSI ณ กรุงชิคาโก้ และพบว่าซากของหุ่นออโต้บอตส์ที่ตายไปได้ถูกนำมาหลอมเพื่อสร้างโดรนจำนวนมาก พร้อมกันนี้ โจชัว จอยซ์ CEO ของ KSI ก็ยังได้ร่วมมือกับแอตทินเกอร์ในการยกระดับกองกำลังป้องกันโลกและต้องการเพิ่มประสิทธิภาพมนุษย์ด้วยการใช้พลังจากซี๊ด ทันใดนั้นกลุ่มออโต้บอตส์ก็บุกทะลวงเข้ามาในอาคารของ KSI และทำลายแล็บทิ้ง และช่วงที่ชุลมุนกันอยู่นั้น ล็อคดาวน์ก็โผล่มาจับออพติมัสกับเทสซ่าไป เคดกับเชนเลยต้องรีบไปช่วยกลับมา

ยานของล็อคดาวน์ได้ร่อนลงเหนือชิคาโก้และพร้อมจะส่งมอบซี๊ดให้แอตทิงเกอร์เป็นการตอบแทน เคด เชน และออโต้บอตส์ที่เหลือได้อาศัยจังหวะนี้ลอบขึ้นยานไปช่วยออพติมัสกับเทสซ่า พวกเขาจัดการขโมยยานลำเล็กที่บรรทุกหุ่นออโต้บอตส์ที่เรียกว่า ไดโนบอตส์ ออกมาได้ก่อนที่ล็อคดาวน์จะเดินทางออกจากโลก จากนั้นออโต้บอตส์ก็เผยความจริงกับเคดว่า เมกะทรอน ผู้นำของดีเซปติคอนส์ได้ย้ายตัวเองไปอยู่ในโดรนที่ชื่อว่า กัลวาทรอน ซึ่งเมกะทรอนได้วางแผนแต่แรกว่าจะใช้ซี๊ดและโดรนของหน่วยงาน KSI ในการยึดครองโลก เคดเลยไปเกลี้ยกล่อมให้โจชัวให้กลับตัวกลับใจ มอบซี๊ดมาให้ตน ส่วนทางเมกะทรอนที่จัดการคืนชีพตัวเองสำเร็จก็เริ่มควบคุมโดรนของ KSI ทั้งหมด เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ลูกทีมของแอตทินเกอร์เลยต้องร่วมมือกับออโต้บอตส์ในการยับยั้งเมกะทรอนและกองทัพโดรนในที่สุด และผลก็จบลงด้วยชัยชนะของออโต้บอตส์กับมนุษย์โลก

ล็อคดาวน์กลับมาจับตัวออพติมัสและหุ่นไดโนบอตส์อีกครั้ง ออพติมัสเลยเข้าสู้กับล็อคดาวน์ที่โรงงานร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งออพติมัสก็พลาดท่าโดนล็อคดาวน์ตรึงร่างด้วยดาบของออพติมัสเอง กระทั่งเคด เทสซ่า และเชนตามมาช่วยออพติมัสไว้ได้ และช่วยกันปราบล็อคดาวน์สำเร็จ ในขณะที่เมกะทรอนก็ถอยทัพไป พร้อมประกาศกร้าวว่าตนจะกลับมาคิดบัญชีอีกครั้งแน่นอน ส่วนออพติมัสก็ขอร้องให้ออโต้บอตส์คอยปกป้องครอบครัวของเคด โดยที่ตัวเองบินออกไปสู่อวกาศพร้อมกับซี๊ด เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับครีเอเตอร์ต่อไป

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้