ในรอบกว่า 2 ทศวรรษมานี้ ได้มีปัญหาโลกแตกผุดมาจากทฤษฎีประหลาดๆ ของแฟนๆ Final Fantasy อย่างนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น แอริธจะฟื้นคืนชีพได้หรือไม่? เกม Final Fantasy VII กับ Final Fantasy X นั้นอยู่ในจักรวาลเดียวกันรึเปล่า? ตัวละครโกโก้ นักเลียนแบบซึ่งเป็นตัวละครลับที่มีให้ใช้ใน Final Fantasy VI นั้น แท้จริงแล้วคือ แดริล เพื่อนของเซ็ทเซอร์ปลอมตัวมาใช่รึเปล่า? ฯลฯ
โดยคำถามที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ ล้วนล่องลอยวนเวียนอยู่ตามเว็บบอร์ดและโลกโซเชี่ยลมานานจน ณ ปัจจุบันก็ยังมีการพูดถึงกันอยู่ประปราย และเพื่อคลายข้อสงสัยเหล่านั้น ทางคุณโยชิโนริ คิตาเสะ (Yoshinori Kitase) อดีตผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ของเกม Final Fantasy มาหลายภาคที่เดินทางมาร่วมงาน PAX ที่กรุงซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เลยออกมาชี้แจงเกี่ยวกับข้อสงสัยทั้งหลายทั้งปวงที่เคยเกิดขึ้นให้ฟังกันตามนี้ครับ
1. เรื่องของทฤษฎีจากแฟนๆ ที่บอกว่า "จริงๆ แล้วโกโก้คือแดริล เพื่อนสาวของเซ็ทเซอร์ใช่หรือไม่? หรือว่าเป็นนายพลลีโอกันแน่?"
คุณคิตาเสะเฉลยว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และตัวเขาไม่คิดว่าจะมีการสร้างปูมหลังตัวละครอะไรในลักษณะนั้น และถ้านี่เป็นเรื่องจริง ก็ต้องเป็นเพราะว่าแดริลได้มีฉากจบหรือบทสรุปเรื่องราวของตัวเองที่สวยงามไปแล้ว ซึ่งถ้าเธอคือโกโก้จริง มันจะทำลายพล็อตทุกอย่างหมดเลย ขณะเดียวกัน คุณคิตาเสะก็อธิบายเพิ่มเติมว่า ในเกม Final Fantasy VI จะมีตัวละครลับให้ตามหาอยู่สองคน ก็คือโกโก้กับอุมาโร่ โดยตัวละครทั้งสองนี้จะไม่มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ทั้งคู่แค่ประจำอยู่ในดันเจี้ยนนั้นๆ เพื่อให้เราไปตามมาเป็นพวกเท่านั้นเอง
2. เรื่องของทฤษฎีที่อ้างว่าสควอล พระเอกจาก Final Fantasy VIII ได้ตายไปตั้งแต่ท้ายแผ่น 1 หลังจากที่โดนอีเดียยิงเวทน้ำแข็งใส่ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นเพียงความฝันของสควอล
คุณคิตาเสะหัวเราะร่วนแล้วตอบว่า เหลวไหลทั้งเพ สควอลเขาถูกยิงก้อนน้ำแข็งใส่แถวๆ หัวไหล่ ดังนั้นเขาเลยไม่ตาย แต่นี่ก็เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจอยู่ ถ้าทีมงานมีโอกาสได้หยิบ FF VIII กลับมารีเมคอีกครั้ง เขาจะลองเก็บประเด็นนี้ไว้เผื่ออาจจะได้ใช้ในภายหลังดู
3. เรื่องของทฤษฎีที่ว่า รินอร์ นางเอกจาก Final Fantasy VIII นั้นคืออัลติมิเซีย บอสใหญ่ของเกม
คุณคิตาเสะตอบว่าไม่จริงอีกเช่นกัน แม้ว่ารินอร์กับอัลติมิเซียจะเป็นแม่มดเหมือนกัน แต่ทั้งคู่ไม่ใช่คนๆ เดียวกันแน่นอน
4. เรื่องของทฤษฎีที่ว่า อสูร Knights of the Round คือชนเผ่าเซ็ทราที่ปราบเจโนวาเมื่อหลายพันปีก่อนที่จะเกิดเนื้อเรื่องในเกม Final Fantasy VII ขึ้น
คุณคิตาเสะขำก๊ากพร้อมกับบอกว่า แฟนๆ คิดลึกกันเกิ๊นนน ไม่ก็คงคร่ำเคร่งกับการพยายามหาความลับในเกมกันมากเกินไป แถมยังอธิบายอีกว่า คุณเท็ตสึยะ โนมุระ เป็นผู้ออกแบบอสูรทั้งหมดในภาคดังกล่าว และทีมของเขาก็ไม่ได้ใส่เรื่องราวแบ็คกราวด์ให้กับอสูรตัวไหนเลยด้วยซ้ำ
5. เรื่องของทฤษฎีที่ว่า จริงๆ แล้วผู้เล่นสามารถชุบชีวิตแอริธให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่คอนเท้นท์ส่วนนี้โดนตัดออกไป
คุณคิตาเสะเผยว่า ตัวเขาเคยได้ยินผู้คนพูดถึงประเด็นนี้กันว่าถ้าลองใช้บั๊กในเกมแล้วจะสามารถคืนชีพให้แอริธได้ และนางจะอยู่กับเราจนกระทั่งจบเกม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีนะถ้าเราสามารถชุบชีวิตให้ตัวละครที่ตายไปได้ แต่ใน FF VII เนี่ย ทีมงานต้องการที่จะให้ผู้เล่นมองในอีกมุม มองไปที่ชีวิตของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจสัจธรรมว่าคนที่ตายไปแล้วจะไม่มีวันฟื้นมาอีกนั่นเอง
โดยในช่วงแรกๆ ที่เขากับลูกทีมได้พัฒนาเกม FF VII ก็ได้เห็นบริษัทอื่นลองทำแบบสำรวจกับบรรดาเด็กเล็กๆ ว่าพวกเขาคิดว่าคนเราจะฟื้นคืนชีพหลังจากความตายได้หรือไม่ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่คิดว่า "ได้" ตรงจุดนี้เลยสะท้อนให้เห็นว่ามันมีนิทานหรือเรื่องราวแฟนตาซีมากมายที่ชวนให้เด็กๆ เชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเจ้าหญิงที่ฟื้นขึ้นมาหลังจุมพิตกับเจ้าชาย ด้วยมุมมองของเด็กๆ ที่ไม่ประสีประสา พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะฟื้นจากความตายได้ ทีมงานจึงอาศัยจุดนี้ในการโยนคำถามกลับไปยังแนวคิดดังกล่าวเพื่อให้ผู้คนได้ฉุกคิดกัน เราต้องการที่จะบรรยายถึงความสำคัญของชีวิตเช่นเดียวกับความสำคัญกับการสูญเสียไปพร้อมๆ กัน และทีมงานก็เริ่มต้นพัฒนาเกมจากจุดเล็กๆ จุดนี้ ซึ่งนี่คือคอนเซ็ปต์หลักของเกมที่เราต้องการจะสื่อเลยครับ
6. เรื่องของทฤษฎีที่ว่า ตัวละคร ชินระ ในเกม Final Fantasy X-2 ได้ไปสร้างองค์กรชินระใน Final Fantasy VII ในเวลาต่อมา รวมถึงความเป็นไปได้ว่าทั้งสองเกมอยู่ในจักรวาลเดียวกัน
คุณคิตาเสะกล่าวว่า เขาจะไม่ฟันธงเป๊ะๆ ว่ามันคือโลกเดียวกันก็แล้วกัน อย่างไรก็ตาม ชินระใน FF X-2 ได้ถูกออกแบบโดยคุณคาซึชิเกะ โนจิมะ ซึ่งทำหน้าที่ผู้เขียนบทในขณะนั้น และตอนที่เขาสร้างตัวละครนี้ เขาคิดว่ามันคงจะดีถ้าปล่อยให้คนจินตนาการไปเองว่าหลังจากเหตุการณ์ใน FF X-2 อีกไม่กี่ปีให้หลัง คนๆ นี้ก็เติบโตและสามารถสร้างบริษัทชินระขึ้นมาในที่สุด โดยนั่นก็คือสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้ขบคิดและพูดถึงกัน ส่วนตัวเขาเองจะไม่บอกว่ามันคือโลกเดียวกันเด็ดขาด