"วันนี้ในอดีต" by play: 14 พฤศจิกายน
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 หรือวันนี้เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เป็นวันวางจำหน่ายของเกม Final Fantasy IX (FF9) บนเครื่อง PS1 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยภาคนี้ได้ถูกพัฒนาด้วยแนวคิดที่เน้นความเรียบง่าย ผ่านธีมของเกมที่คล้ายโลกยุคกลาง หลังจากที่ภาค 6-8 ได้มีการนำเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นพล็อตหลักของเรื่อง
ทางด้านเกมเพลย์ของการผจญภัยในภาค 9 นี้ มีการนำ "มูเกิ้ล" (Moogle) มอนสเตอร์สีขาวมีปีกสุดน่ารักเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเจ้ามูเกิ้ลนี้จะโผล่มาเป็นจุดเซฟที่ผู้เล่นสามารถกดเรียกใช้ได้ทุกครั้งเวลาที่อยู่บนฉากแผนที่ หรือแม้กระทั่งโผล่มาเป็นตัวละครอธิบายวิธีการเล่นทั่วไป (เพียงกดปุ่ม Select ในหน้าเมนูเวลาเราเลื่อนเคอร์เซอร์ไปที่หัวข้อต่างๆ รวมถึงระบบ Mognet ที่ให้ผู้เล่นทำหน้าที่บุรุษไปรษณีย์คอยส่งเมล์ให้มูเกิ้ลตัวอื่นๆ ที่อยู่สถานที่อื่นๆ ทั่วโลก พร้อมทั้งนำระบบ Active Time Event (ATE) ที่เป็นระบบการดูเหตุการณ์ของตัวละครอื่นที่ไม่ได้อยู่ในปาร์ตี้เดียวกันขณะนั้นแบบ Real-time
ในส่วนของการพัฒนาความสามารถตัวละครสำหรับภาค 9 จะเน้นไปที่คอนเซ็ปต์ความเข้าถึงง่าย กล่าวคือ อาวุธชุดป้องกันแต่ละชิ้นจะมีสกิลให้เรียนรู้แตกต่างกันไป ซึ่งผู้เล่นก็ต้องสวมใส่อาวุธชุดป้องกันเหล่านั้นแล้วปราบศัตรูเพื่อเก็บค่า AP มาเติมเกจจนเต็ม จึงจะสามารถนำสกิลมาใช้ได้อย่างถาวร
ทั้งนี้ สกิลในเกมก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Active Skill ที่เป็นสกิลจำพวกเวทมนตร์หรือท่าไม้ตายต่างๆ ที่ต้องกดใช้ในการต่อสู้ ในขณะที่อีกประเภทคือ Passive Skill ที่เป็นสกิลประเภทเพิ่มความสามารถด้านต่างๆ ของตัวละคร เช่น เพิ่ม HP Max 10%, ป้องกันการติดอาการ Blind (ตาบอด) หรือ Auto-Haste (อยู่ในสถานะ Haste ตลอดเวลา) เป็นต้น
เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเกม Final Fantasy IX
- FF9 เวอร์ชั่นญี่ปุ่นนั้นวางจำหน่ายมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2543 และสามารถทำยอดขายได้ถึง 2.65 ล้านชุดภายในปีนั้น และขึ้นทำเนียบเป็นเกมที่มียอดขายสูงเป็นอันดับ 2 ของปี 2543 ทันที (เกมที่ได้อันดับ 1 ในปีดังกล่าวคือ Dragon Quest VII ที่วางจำหน่ายบนเครื่อง PS1 เช่นกัน) แม้ว่าจะเป็นเกมที่มียอดขายดีในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อนับยอดขายรวมแล้ว กลับยังสู้ FF7 และ FF8 ไม่ได้ และในที่สุดยอดขายรวมของภาค 9 ก็ไปนิ่งสนิทอยู่ที่ราวๆ 5.3 ล้านชุดทั่วโลก (นับถึงวันที่ 31 มีนาคม 2546)
- ถึงแม้ยอดขายอาจจะสู้ภาคยอดนิยมอย่างภาค 7 ไม่ได้ แต่เชื่อมั้ยครับว่า FF9 กลับเป็นภาคที่ได้คะแนนเฉลี่ยจากทุกสำนักข่าวเกมทั่วโลกสูงถึง 93% และเป็นอันดับที่ 2 รองจาก FF6 ที่เคยลงให้กับเครื่อง Super Famicom เมื่อปี 2537 เพียงภาคเดียวเท่านั้น โดยหลายๆ สำนักให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าจุดเด่นของภาคนี้คือ "เนื้อเรื่อง" ที่มีความลุ่มลึก น่าติดตาม อีกทั้งตัวละครทุกตัวต่างมีที่มาที่ไปอันน่าสนใจ มีการพัฒนาความสัมพันธ์และความคิดตามเนื้อเรื่องที่ดำเนินไป พร้อมทั้งแฝงแง่คิดผ่านบทพูดของตัวละครได้อย่างแยบคาย ถือว่าเป็นจุดแข็งที่โดดเด่นของภาคนี้เลยทีเดียว
- ในช่วงวันวางจำหน่าย FF9 ที่ญี่ปุ่น ทางค่าย Squaresoft ที่ตอนนั้นยังไม่ควบรวมบริษัทกับ Enix ได้ตัดสินใจเปลี่ยนวันวางจำหน่ายของ FF9 กะทันหัน เพื่อเลี่ยงที่จะวางจำหน่ายชนกับ Dragon Quest VII ที่ขายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งตรงนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าซีรีส์ Dragon Quest นั้นเป็นเหมือนเกมระดับวาระแห่งชาติของเกมเมอร์ชาวญี่ปุ่นเขาครับ ถึงขนาดที่ว่าทางการของที่นู่นต้องขอร้องค่าย Enix ว่าอย่าวางจำหน่ายเกม Dragon Quest ตรงกับวันธรรมดา มิเช่นนั้นเขาเกรงว่าคนญี่ปุ่นจะแห่กันหยุดงานเพื่อมาซื้อเกมนี้จนสะเทือนถึงระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
เพลงร้องประจำของภาคนี้มีชื่อว่า Melodies of Life ขับร้องโดยคุณชิราโทริ เอมิโกะ (Shiratori Emiko) และมีการประพันธ์เนื้อร้องของเพลงนี้ทั้งแบบเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ซึ่งทำนองของเพลงนี้เป็นทำนองเดียวกับเพลง Crossing Those Hills ที่เป็นเพลงบรรเลงตอนอยู่บนฉากแผนที่นั่นเองครับ
หากผู้เล่นรอดูฉากจบจนขึ้นคำว่า The End เรียบร้อยแล้ว ให้ลองกดปุ่ม R2, L1, R2, R2, บน, กากบาท, ขวา, วงกลม, ล่าง, สามเหลี่ยม, L2, R1, R2, L1, สี่เหลี่ยม, สี่เหลี่ยม และ Start ก็จะสามารถเล่นมินิเกม Blackjack ได้
- สำหรับเวอร์ชั่น PS1 หลังจากเราดำเนินเนื้อเรื่องไปจนถึงช่วงที่โลก Terra ถูกทำลายแล้ว และเข้าสู่เนื้อเรื่องในดิสก์แผ่นที่ 4 ให้เราไปแข่งประมูลเพื่อเอาคีย์ไอเทมที่มีชื่อว่า Doga's Artifact กับ Une's Mirror มาไว้ในครอบครองก่อน จากนั้นก็กลับไปที่หมู่บ้าน Black Mage แล้วสำรวจเครื่อง Gramophone ที่อยู่ภายในโรงแรมของหมู่บ้านดังกล่าว พอสำรวจปุ๊บ เสียงเพลงจะเปลี่ยนเป็นเมโลดี้จากเกม Final Fantasy III เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่น และเพลงที่ว่านี้จะบรรเลงไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะออกจากหมู่บ้านครับ