ถ้าไม่นับ Joy-Con ที่เขาไม่แข่งกับใคร DualSense ของ PlayStation 5 น่าจะเป็นจอย หรือคอนโทรลเลอร์ที่ช่วยเสริมอรรถรสในการเล่นเกมได้มากที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้วยรูปทรง, การจัดวางปุ่ม, ไจโรเซนเซอร์, Adaptive Trigger, รวมไปถึง Haptic Feedback ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะยังคงมีอยู่ในจอยรุ่นโปรของ Sony อย่าง DualSense Edge ครบถ้วน แถมมีฟีเจอร์และการปรับแต่งเพิ่มมาให้อีกเยอะมาก แต่มันจะคุ้มค่ากับราคาที่มากขึ้นรึเปล่า หรือถ้าซื้อมาเล่นกับเกมบน PC จะดีมั้ย รีวิวคลิปนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจให้กับคุณ
รีวิวจอย DualSense Edge
การออกแบบ
รูปทรงโดยรวมของ Edge ยังคงเดิมจาก DualSense รุ่นธรรมดาที่มากับเครื่อง PlayStation 5 แต่จะแตกต่างกันที่สีและวัสดุในบางจุดเท่านั้น อย่างเช่นปุ่มต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นสีดำ เช่นเดียวกับทัชแพดที่จะมีพื้นผิวเป็นลายสัญลักษณ์ของ PlayStation ต่างจากของเดิมที่เป็นสีขาวล้วน โดยที่ช่วงล่างของจอยก็เปลี่ยนจากพลาสติกดำด้านมาเป็นดำเงา เทียบกับของเดิมที่ดูเรียบง่ายสบายตา ภาพลักษณ์ของ Edge ก็คงจะคล้าย ๆ กับชื่อของมันคือมันจะดู Edgey หน่อย ๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วพูดได้เต็มปากว่าดีขึ้นก็คือ บริเวณด้ามจับด้านในจะเปลี่ยนมาใช้วัสดุคล้าย ๆ ยาง เมื่อรวมกับผิวที่ไม่เรียบ มันก็ยิ่งช่วยให้กระชับ จับติดมือได้มากกว่าเดิม
นอกจากตัวจอยแล้ว ในกล่องของ Edge จะมีกระเป๋าสำหรับพกพาที่ด้านนอกเป็นพลาสติกแข็งมาให้ด้วย สิ่งที่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในด้านของการใช้งานแต่น่าพูดถึงก็คือ มันถูกออกแบบมาให้มีสีและรูปทรงที่เข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตระกูล PlayStation 5 ได้ดีทีเดียว โดยที่ภายในกระเป๋าจะมีที่สำหรับเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ของ Edge ไว้ด้วยกันทั้งหมด คือสาย USB แบบถักความยาว 2.8 แมตร, ตัวล็อกสายกับจอยไม่ให้หลุดออกจากกัน, ปุ่มเสริมแบบยาวหนึ่งคู่, ปุ่มเสริมแบบสั้นอีกหนึ่งคู่, รวมถึงก้านอนาล็อกทั้งแบบสั้นและแบบยาวอีกอย่างละหนึ่งคู่ แต่ที่พิเศษอีกอย่างก็คือ ด้านบนของกระเป๋าจะมีช่องให้เปิดเพื่อเสียบสายชาร์จจอยที่อยู่ข้างในได้ด้วย เหมือนกระเป๋าจอยก็มีซันรูฟยังไงยังงั้น
การใช้งาน
ถ้าคุณสมบัติสำคัญของการเป็นจอยรุ่นโปรอยู่ที่การปรับแต่ง ก็คงต้องบอกว่า DualSense Edge เป็นจอยที่ปรับแต่งการใช้งานได้เยอะและเป็นประโยชน์มาก โดยที่อินเทอร์เฟซในการปรับแต่งบน PlayStation 5 ก็ทำออกมาได้เข้าใจง่าย ตั้งแต่การปรับเดดโซนของปุ่มทริกเกอร์และก้านอนาล็อกแต่ละข้าง ไปจนถึงปรับรูปแบบการรับรู้วิธีเลื่อนอนาล็อกของผู้เล่น ตลอดจนตั้งปุ่มใหม่ให้เป็นอะไรก็ได้แบบครบทุกปุ่มบนตัวจอย แต่มียกเว้นปุ่ม Create กับปุ่ม PlayStation ตรงกลางจอยนะที่ปรับไม่ได้ โดยที่เราจะสามารถตั้งโปรไฟล์ปุ่มแล้วเซฟไว้ได้มากสุดสี่โปรไฟล์ ซึ่งแต่ละไฟล์จะตั้งชื่อเป็นอะไรก็ได้ตามที่เราจะเข้าใจได้ รวมถึงเราจะสลับโปรไฟล์ไปมาระหว่างที่เล่นเกมอยู่ก็ยังได้ แค่กดปุ่ม Fn ข้างใดข้างหนึ่งตามด้วยสามเหลี่ยม, วงกลม, กากบาท, หรือสี่เหลี่ยม ตามที่เราตั้งไว้ แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่จำไม่ได้ว่าโปรไฟล์ที่ต้องการถูกตั้งอยู่ปุ่มไหน แค่กด Fn ค้างไว้ หน้าจอก็จะแสดงอินเทอร์เฟซของ Edge พร้อมชื่อโปรไฟล์มาให้บนหน้าเกมเดี๋ยวนั้นเลย นับว่าเป็นการทำงานร่วมกันกับระบบได้เป็นอย่างดี
แม้ปุ่มทริกเกอร์ทรงไกปืนของ DualSense รุ่นธรรมดาจะออกแบบมาดีและกดได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ Edge ก็ทำให้มันง่ายขึ้นไปอีกด้วยการใส่ลายพื้นผิวเพิ่มเข้าไปตรงช่วงปลายของปุ่ม และดียิ่งขึ้นด้วยแถบสไลด์สำหรับปรับความลึกในการกด จริงอยู่ที่ความลึกระดับสามตามปกติจะทำให้เราได้สัมผัสความยืดหยุ่นของ Adaptive Trigger ได้อย่างเต็มที่ แต่ความลึกระดับหนึ่งก็จะส่งผลให้เราใช้แรงกดน้อยลง ในเวลาที่สั้นลง มีประโยชน์ทั้งในเกมที่ต้องการความไว หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกำลังเมื่อยนิ้ว
ในขณะที่คู่แข่งโดยตรงอย่างจอย Scuf หรือ Elite มีปุ่มเสริมด้านหลังมาให้ฝั่งละสองปุ่ม แต่ Edge กลับมีแค่ฝั่งละปุ่มเดียวเท่านั้น ซึ่งมันจะเพียงพอหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน แต่ยังดีที่ปุ่มเสริมของ Edge เป็นเหล็ก ใส่ง่าย ถอดง่าย แต่ก็มั่นคง ไม่หลุดง่าย และในฐานะที่ใช้ปุ่มเสริมด้านหลังของ DualShock 4 มาโดยตลอด ปุ่มเสริมแบบยาวของ Edge จึงเป็นทางเลือกแรกที่ผมลองใช้ ซึ่งมันก็ถนัดมือและให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย กดง่าย ตอบสนองทันที แต่พอลองเปลี่ยนมาใช้ปุ่มแบบสั้นทรงครึ่งวงกลมที่ปกติไม่มีใครเขาทำกันนอกจาก Sony ผมกลับรู้สึกว่ามันทำให้เราจับจอยได้กระชับมือมากกว่าเดิมไปเสียอย่างนั้น ซึ่งผมคงไม่บอกว่าปุ่มสั้นแบบนี้มันดีกว่าปุ่มยาวแบบเดิม เพราะความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่า ปุ่มเสริมทรงครึ่งวงกลมนี้มันก็มีประโยชน์ไม่แพ้ปุ่มแบบยาวเช่นกัน
ก้านอนาล็อกทั้งสองข้างของ Edge ก็ถอดเปลี่ยนได้ง่าย ตอนดึงออกก็แค่ใช้แรงนิดหน่อย ส่วนตอนใส่ก็หมุนเล็กน้อยให้รู้สึกว่ามันตรงล็อก แล้วก็กดลงไปได้เลย มันให้ความรู้สึกที่มั่นคงและแน่นหนาเหมือนว่าก้านอนาล็อกมันเป็นหนึ่งเดียวกับแท่นด้านล่างตลอดเวลา แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Edge โดดเด่นกว่าจอยตัวอื่น ๆ ก็คือ เราสามารถเปิดฝาครอบช่วงล่าง แล้วดึงเอาแท่นอนาล็อก หรือ Stick Module ออกมาได้ทั้งแผงเลย ในกรณีที่มันเสีย Sony ก็มีแท่นอนาล็อกขายแยกให้ข้างละ 20 ดอลลาร์ หรือจะรอซื้อจากของผู้ผลิตรายอื่นที่อาจมีลูกเล่นมากกว่าในอนาคตก็ได้ อย่างเช่น GuliKit ที่บอกว่าจะทำแท่นอนาล็อกแบบ Hall Effect ที่ไม่ต้องกลัวว่าจอยจะดริฟต์อีกต่อไปสำหรับ DualSense Edge ออกมาด้วย แต่ก็ยังไม่ได้บอกว่าจะวางขายได้เมื่อไหร่ หรือถ้าใครจะถอดมันออกทั้งสองข้างแล้วเล่นเพื่อรำลึกความหลังถึงจอย PlayStation รุ่นแรกที่ไม่มีก้านอนาล็อกเลยก็ทำได้เหมือนกัน แต่ถ้าอาจารย์แดงมาเห็นแกก็คงจะถามว่า คุณจะทำไปเพื่ออะไร
ดูมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะรู้สึกว่า DualSense Edge มันชักจะน่าใช้เกินไปแล้ว เราก็คงต้องขอพูดถึงข้อเสียที่ไม่ควรมีอยู่ในจอยตัวนี้ให้ฟังกันหน่อย นั่นก็คือแบตเตอร์รี่ของมันมีความจุแค่ 1050 มิลลิแอมป์ ต่างจาก DualSense รุ่นธรรมดาซึ่งจุได้ 1560 มิลลิแอมป์ และจากการใช้งาน เราพบว่า Edge อยู่ได้ราว 4-5 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ถือว่าน้อยกว่าเดิมราว 1-2 ชั่วโมงได้ แต่ถ้าจะให้มองถึงด้านดี อย่างน้อย Sony ก็มีสายถักที่ยาวถึง 2.8 เมตรสำหรับเชื่อมต่อกับช่อง USB Type-A ของเครื่อง PlayStation 5 มาให้พร้อมกับตัวล็อกจอยที่ใช้งานได้ดีมาก ๆ ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดหรือสายจะหลุดแล้ว เย่… มั้ย?
การใช้กับ PC
อย่างที่ทราบกันดีว่าหลาย ๆ เกมบน PC เริ่มรองรับจอยของ PlayStation แบบเนทีฟมาตั้งแต่ยุค DualShock 4 เรื่อยมาจนถึง DualSense ในปัจจุบัน ซึ่ง Edge ก็ไม่ต่างกัน ทั้ง Adaptive Trigger และ Haptic Feedback จะยังคงทำงานได้เหมือนบน PlayStation 5 ในเกมที่รองรับ เช่นเดียวกับปุ่มเสริมด้านหลัง โดยที่จะกดปุ่มเปลี่ยนโปรไฟล์ได้ตลอดเวลาด้วย เพียงแค่จะไม่มีอินเทอร์เฟซขึ้นมาเหมือนตอนใช้บน PlayStation 5 และจะไม่สามารถปรับแต่งปุ่มในแต่ละโปรไฟล์บน PC ได้ เว้นแต่คุณจะใช้โปรแกรมอื่นช่วยอย่างเช่น DSX ที่มีนักพัฒนาอิสระทำมาขายบน Steam ในราคา 135 บาท
สรุปรีวิวจอย DualSense Edge
ด้วยราคากลางในประเทศไทยอยู่ที่ 7,790 บาท ซึ่งสูงกว่าจอย DualSense รุ่นธรรมดาถึง 5,000 บาท Edge ก็ควรทำได้ดีกว่าในทุก ๆ ด้าน จริงอยู่ที่การออกแบบและคุณสมบัติต่าง ๆ ของการเป็นจอยโปรจะทำออกมาได้ดี และมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการจะใช้สิ่งเหล่านั้น แต่ก็อย่างที่เราได้บอกไปว่ามันยังมีบางจุดที่ด้อยกว่าเดิมอยู่อย่างไม่น่าจะเป็น และด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จอย DualSense Edge จึงได้คะแนนจากพวกเรา Online Station ไปที่ 8.5 คะแนน
ติดตามข่าวสารวงการเกมได้ที่เว็บไซต์ online-station.net